ECF สุมกำลังแข่งข้ามชั้นสู่ "พรีเมียร์ลีก"

ECF สุมกำลังแข่งข้ามชั้นสู่ "พรีเมียร์ลีก"

เรื่องเซอร์ไพรส์มีอีกพรึ่บ!! “อารักษ์ สุขสวัสดิ์” หุ้นใหญ่แห่ง “อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค” สะกิดบอก

ตีตั๋วเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มา 1 ปี 3 เดือน ราคาหุ้น อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF ของ “ตระกูลสุขสวัสดิ์” สัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 68 เปอร์เซ็นต์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 145 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับราคาสูงสุด 2.94 บาท เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2557

ธุรกิจหลักของ ECF คือ ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากไม้ปาร์ติเคิลบอร์ดและไม้ยางพารา กระดาษปิดผิว ไม้ยางพาราแปรรูปอบแห้ง ขณะเดียวกันยังจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราที่บริษัทเป็นผู้ผลิต และเฟอร์นิเจอร์ไม้จริงที่สั่งซื้อจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงให้บริการตัดแผ่นปิดขอบไม้ (พีวีซี)

แม้จะเพิ่งกลับมาจากการรักษารากฟัน แต่ “อารักษ์ สุขสวัสดิ์” กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF ก็พร้อมถ่ายทอดอนาคตฉบับเต็มให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังอีกครั้ง เขามานั่งรออยู่ในร้านกาแฟชื่อดัง ย่านอาร์ซีเอ ก่อนเวลาเช่นเคย “ผมยังมีเรื่องเซอร์ไพรส์ใหญ่ๆอีกเพียบ”

ล่าสุดเพิ่งคุยกับพันธมิตรจบในส่วนของหลักการ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องนี้ภายในปีนี้หรือไม่ ถ้าไม่ทันคงต้นปีหน้า เรายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งนักวิเคราะห์ ส่วนเพื่อนคนนี้หัวทองหัวดำยังบอกไม่ได้จริงๆ พูดได้เพียงว่า หากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จผลประกอบการของ ECF จะขยายตัวมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน

เขา เล่าว่า ตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากกว่า 1,000 ล้านบาทเป็นประมาณ 1,350 ล้านบาท เดิมตั้งใจจะขยายกำลังการผลิตเพื่อส่งออกและขายในประเทศในสัดส่วน 50:50 แต่เนื่องจากสถานการณ์การเมืองไทยก่อนหน้านี้ไม่ปกติ บริษัทจึงต้องปรับแผนการขายใหม่ โดยหันมาขายในประเทศเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 60 เปอร์เซ็นต์เน้นส่งออกล้วนๆ

ถามว่าการเมืองไทยนิ่งแล้วบริษัทจะปรับแผนการขายหรือไม่ คงต้องยืนตัวเลขนี้ไปก่อน อยากรอดูสถานการณ์ต่างๆให้แน่ใจอีกครั้ง แต่ถ้าทุกอย่างชัดเจนบริษัทจะปรับสัดส่วนการขายเป็น 45:55 ก่อนจะกลับมาเป็น 50:50 เพราะเมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซีย หรือ AEC เปิดในปี 2558 นักลงทุนต่างประเทศคงหันมาใช้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางผลิต และใช้ประเทศพม่า ลาว และกัมพูชาเป็นสาขา

เนื่องจากเมืองไทยเป็นประเทศที่มีภูมิศาสตร์ที่ดีที่สุด และมีต้นทุนทางสังคมที่สูง ที่สำคัญค่าครองชีพไม่สูงเหมือนประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันพฤติกรรมการใช้เฟอร์นิเจอร์ของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลายคนยอมซื้อใหม่ เพราะต้องการมีเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ที่สำคัญราคาเฟอร์นิเจอร์ไม่แพงเหมือนก่อน ปกติ ECF จะส่งสินค้าระดับ A,B,C เพื่อเจาะตลาดในประเทศ โดยเกรด Aจะส่งขายในสาขาของ ECF ส่วนระดับ B จะขายให้กลุ่มโฮมโปร และระดับ C จะขายในร้านค้าปลีกขนาดใหญ่

ปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งหมด 15 แห่ง ภายในปี 2557 ตั้งใจจะเปิดสาขาใหม่ 5 แห่ง โดยเปิดสาขาในจังหวัดนครราชสีมาไปแล้ว 1 แห่ง และจะเปิดสาขาเมืองพัทยาในเดือนก.ค.นี้ ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้จะเปิดสาขาในอำเภอศรีราชา,จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองพัทยา มูลค่าลงทุนเฉลี่ย 3-4 ล้านบาทต่อแห่ง ปกติเรามีพื้นที่ขายเฉลี่ย 200-500 ตารางเมตรต่อสาขา เป้าหมายการขายของสาขาต้องเติบโตทุกปี อย่างในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายอดขายของสาขาเติบโตประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์

“อารักษ์” ตอบคำถามที่ว่า วางเป้าหมาย 3 ปีข้างหน้า (2557-2559) อย่างไร? เดิมเคยบอกว่า อยากเห็นรายได้ประมาณ1,600 ล้านบาท สงสัยคงต้องเปลี่ยนแล้วละ (ยิ้ม) หากไม่มีอะไรผิดพลาดตัวเลข 1,800-2,000 ล้านบาท ต้องได้เห็นก่อนปี 2559

แต่กว่าจะได้ครอบครองตัวเลขนี้คงต้องทำงานหนักมาก เพราะอยากเห็นทุกอย่างเติบโตไปพร้อมกัน อาทิ แนวคิดของมาร์เก็ตติ้งต้องไม่เหมือนเดิม การผลิตต้องหลากหลาย การลงทุนในระบบต่างๆต้องมากขึ้น เมื่อผลิตมากต้องมีระบบแวร์เฮ้าส์ในการจัดเก็บที่ดี

การลงทุนในระบบต่างๆต้องใช้เงินจำนวนเท่าไร เขาตอบว่า คงตกปีละ 50-60 ล้านบาท ส่วนใหญ่เราจะนำเงินลงทุนมาจากกระแสเงินสด และเงินจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ECF-W1 อายุ 3 ปี จำนวน 260 ล้านหน่วย ที่บริษัทจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 2 หุ้นเดิมต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาการใช้สิทธิ 0.50 บาท

“อัตรากำไรสุทธิ 6-7 เปอร์เซ็นต์ น่าจะเริ่มเห็นได้ในปี 2557 เมื่อเทียบกับปีก่อนทีมีอัตรากำไรสุทธิ 3.42 เปอร์เซ็นต์”

“หุ้นใหญ่” ไม่พลาดที่จะเล่า “แผนโกอินเตอร์” ให้ฟังอย่างเต็มใจว่า ปัจจุบันบริษัทส่งสินค้าไปขายในประเทศญี่ปุ่นประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ ตะวันออกกลาง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือส่งไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ และแถบยุโรป

หลายคนเป็นห่วงว่า ECF ส่งสินค้าไปขายในประเทศญี่ปุ่นมากจะมาความเสี่ยงหรือไม่ อยากบอกว่า ความเสี่ยงได้ถูกกระจายไปหมดแล้ว เพราะเราส่งสินค้าไปขายทั้งในรูปแบบของร้านเฟอร์นิเจอร์ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ และร้านขายส่ง

ปัจจุบันร้านเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น 2 แห่ง สั่งซื้อสินค้าจากเรา ลูกค้า 2 แห่ง รวมกันมีสาขากว่า 500-600 แห่ง ส่วนร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เป็นลูกค้าเรา 3-4 แห่ง โดยลูกค้า 1 แห่ง มีสาขา 200 แห่ง ส่วนร้านขายส่งยักษ์ใหญ่ในเมืองฟูกูโอกะก็ซื้อสินค้ากับบริษัท

ล่าสุดเพิ่งบินไปคุยกับลูกค้ารายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น โดยเขาจะสั่งซื้อสินค้ากับเราปีละ 120 ล้านบาท เฉลี่ย 10 ล้านบาทต่อเดือน คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2557 แต่อนาคตอาจมีออเดอร์จากลูกค้ารายนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปกติเราส่งสินค้าไปขายในทุกภาคๆของประเทศญี่ปุ่น แต่ตอนนี้เรายังไม่แข็งแรงในโอซาก้า และฮอกไกโด โดยสินค้าที่ส่งไปจำหน่ายจะอยู่ในระดับเกรด B- ส่วนใหญ่คู้ค่าที่ญี่ปุ่นรู้จักเราหมดเกือบทุกคน “อารักษ์” บอกถึง “จุดเด่น” ของแบรนด์ตัวเอง

เขาเล่าต่อว่า วันนี้เศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มดีขึ้น ฉะนั้นความน่าสนใจของตลาดนี้เริ่มมีแล้ว แม้วันนี้อเมริกาจะมีประเด็นบางอย่างกับทางการประเทศไทย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของเอกชน สำหรับเอกชนมองเพียง “เรื่องคุณภาพและราคา”

วันนี้กลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงล่างที่อาศัยอยู่ในอเมริกาและซื้อของเมืองไทย ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนอเมริกา แต่เป็นคนแถบเอเชีย เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งคนในแถบเอเชียส่วนใหญ่เป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจขนาดกลางของอเมริกา

ก่อนวิกฤติปี 2551 ECF เคยค้าขายกับบริษัทขนาดกลางของอเมริกา ด้วยการส่งสินค้าไปจำหน่ายในสัดส่วนประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเจอวิกฤติเศรษฐกิจบริษัทจึงลดสัดส่วนการจำหน่ายลงเหลือประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ เราเพิ่งกลับมาค้าขายใหม่กับ 2 บริษัทผู้ประกอบธุรกิจ Mail order เมื่อปีก่อน สัดส่วนเริ่มต้นเฉลี่ย 3-4 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าจะกลับไปยืนระดับ 5-7 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 เพราะเรามีการพัฒนาสินค้าร่วมกับ 2 คู่ค้าประมาณ 15 รายการ เช่น โต๊ะเขียนหนังสือ เป็นต้น

ส่วนลูกค้ารายใหม่ของอเมริกา ถามว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นหรือไม่ ก็มีนะ เขายอมรับ แต่เนื่องจากเรารู้จักลูกค้ารายเดิมมา 7 ปีแล้ว จึงต้องการค้าขายกับเขาเป็นหลัก ตอนนี้ ECF ยังไม่มีสำนักงานในอเมริกา ซึ่งคู่ค้า 2 รายนี้ก็พยายามชักชวนบริษัทให้ไปร่วมลงทุนตลอดเวลา

“ผมตั้งใจว่าจะบินไปคุยเรื่องการลงทุนกับคู่ค้า 2 ราย ในช่วงต้นปี 2558 แต่จริงๆเขาอยากจะให้ไปคุยเดือนก.ค.นี้ แต่ไม่ว่างจริงๆ เมื่อเรามองเห็นโอกาสจึงอยากไปดูธุรกิจของเขาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจร่วมลงทุน”

“ชายวัย 43 ปี” ขยายความถึงรูปแบบการลงทุนว่า เราอยากเข้าไปร่วมถือหุ้นกับคู่ค้ารายใดรายหนึ่งประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ หากทำได้เช่นนั้น จากนี้ไป ECF คงมั่นใจได้ว่า สินค้าที่ส่งไปจำหน่ายในอเมริกามีคนซื้อแน่นอน ขณะที่คู่ค้าเองก็มั่นใจได้ว่า มีบริษัทส่งสินค้าให้เขาแน่นอนเช่นกัน

หากนำคู่ค้า 2 รายมาเปรียบเทียบกันใครมีสิทธิเข้ารอบมากที่สุด เขาตอบคำถามนี้ว่า คงต้องไปดูโครงสร้างธุรกิจ และวิชั่นที่บริษัทดังกล่าวจะทำในช่วง 5 ปีข้างหน้าก่อนจึงจะตอบได้ วันนี้เรายังไม่สามารถบอกได้ว่า กระบวนการจะแล้วเสร็จช่วงไหน แต่หากเห็นว่า ดีลนี้ “คุ้มค่า” เราคงเดินหน้าทำทันที

ถามต่อว่า ความคุ้มค่าวัดกันที่ตรงไหน? “อารักษ์” สวนกลับทันที เราต้องได้ออเดอร์กลับมาเดือนละ15 ล้านบาท จากปกติที่ได้เพียง 5 ล้านบาท ตัวเลขนี้ถือว่าคุ้มแล้วสำหรับการเริ่มต้น เพราะอนาคตมีโอกาสที่ฐานจะโตขึ้นเรื่อยๆ

“เศรษฐกิจอเมริกาคงไม่ตกต่ำแบบที่ผ่านมาอีก เขามีบทเรียนและประสบการณ์แล้ว”

“กรรมการผู้จัดการ” เล่าต่อว่า วันนี้ออเดอร์แถบยุโรปเริ่มกลับมาแล้ว โดยเฉพาะในประเทศอิตาลี ก่อนเศรษฐกิจยุโรปมีปัญหา บริษัทเคยส่งสินค้าไปจำหน่ายในอิตาลีมากถึงเดือนละ 12-15 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดวิกฤติตัวเลขส่งสินค้าเท่ากับ “ศูนย์” ปัจจุบันบริษัทเริ่มกลับมาค้าขายให้อิตาลีเหมือนเดิมแล้ว น่าจะเริ่มเห็นออเดอร์แรกในเดือนก.ค.ประมาณ 3 ล้านบาท

หลังจากเดือนส.ค.เข้าใจว่า ออเดอร์คงเข้ามาทุกเดือน เพราะเดือน 8 เป็นเทศกาลซัมเมอร์ของอิตาลี ฉะนั้นหากเศรษฐกิจของเขากลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตัวเลขออเดอร์คงกลับเข้ามาในบริษัทมากขึ้น ใจจริงอยากเห็นตัวเลขประมาณ 10 ล้านบาทในปี 2558

ส่วนประเทศอื่นในแถบยุโรปค่อนข้างทำการค้ายาก อย่างประเทศฝรั่งเศสยังผลิตเฟอร์นิเจอร์เองเยอะ ฉะนั้นคงไม่นำเข้า ส่วนประเทศอังกฤษระบบต่างๆยังช้ามาก เคยไปสำรวจตลาดเฟอร์นิเจอร์ ด้วยการสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ 1 ตัว เขาตอบว่า ต้องใช้เวลา 6 เดือนจึงจะส่งสินค้าได้ ส่วนประเทศเยอรมัน กฎระเบียบยุ่งยาก ฉะนั้นทำการค้ากับอิตาลีดีกว่ารวดเร็วทันใจ

ถามถึงแผนจำหน่ายสินค้าในตลาดเอเซีย เขาบอกว่า เรายังคงอยากค้าขายในแถบ AEC ปัจจุบันบริษัทส่งสินค้าไปขายในประเทศฟิลิปปินส์แล้วหลายตู้ มูลค่าหลายล้านบาท แต่ช่วงที่ผ่านมาออเดอร์กับลูกค้า 1 รายยังน้อยไม่เคยมีออเดอร์เพิ่มขึ้นเลย เดี๋ยวคงต้องกลับไปถามคนรับผิดชอบก่อนว่าเป็นเพราะอะไร เขาสถบ แต่ตอนนี้คงค้าขายกับเขาตามปกติ

ส่วนประเทศอื่นๆในแถบ AEC ยอมรับว่า สนใจตลาดประเทศเกาหลี เพราะประชากรมีรายได้สูง และประเทศอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายไลฟ์สไตล์ ที่ผ่านมาเดินทางไปสำรวจตลาดมา 2-3 รอบแล้ว พบว่า คนเกาหลีใช้เฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างแพงบางรายการแพงกว่าประเทศญี่ปุ่นอีก นั่นเป็นเพราะเกาหลีมีผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ภายในประเทศ 3-4 บริษัทเท่านั้น แต่หาก IKEA เปิดสาขาในประเทศเกาหลีปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ราคาเฟอร์นิเจอร์ของเกาหลีจะถูกตีตลาดทันที เมื่อถึงวันนั้นเกาหลีอาจต้องหันมาซื้อสินค้าจากเมืองไทย

ส่วนประเทศอื่นๆในแถบ AEC เท่าที่ดูๆยังไม่ค่อยน่าสนใจ อย่างประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซียไม่ค่อยโอเคเท่าไร เพราะมาเลเซียเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์เอง ส่วนประเทศเวียดนามค่อนข้างทำการค้ายาก เนื่องจากระบบช้า ประเทศลาวประชากรยังน้อย ส่วนประเทศบูรไนไม่ต้องพูดถึงเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเลย

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการส่งออกสินค้าไปขายในประเทศพม่า? “อารักษ์” ตอบว่า ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษา เราเดินทางไปพม่ามา 3 รอบแล้ว ทำให้เห็นว่า 4 เรื่องหลักที่เป็นอุปสรรคในการจำหน่ายสินค้าของ ECF ข้อแรก ระบบการเงินของเขายังล่าช้า เพราะเน้นซื้อขายเป็นเงินสด ทำให้เราทำการค้าค่อนข้างลำบาก ข้อสอง ระบบขนส่งไม่สะดวก เนื่องจากเขาต้องการให้เราส่งสินค้าตามแนวชายแดน

ข้อสาม เรายังไม่เข้าใจกฎระเบียบทางการค้าเท่าที่ควร ข้อสุดท้าย พฤติกรรมผู้บริโภคที่วันนี้ยังคงสนใจแต่เรื่องวัตถุดิบธรรมชาติมากกว่าความเป็นอยู่พื้นฐาน ทำให้พม่ายังคงนิยมใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ส่วนใหญ่เฟอร์นิเจอร์ของพม่าทำจากไม้สัก พูดง่ายๆ เขายังไม่ทันสมัยมากพอ ฉะนั้นการเข้าไปทำการค้าในพม่าคงต้องใช้เวลา

พม่าถือเป็นประเทศที่น่าสนใจ เพราะเขามีประชากรมากถึง 70-80 ล้านคน ขณะที่การลงทุนของต่างชาติเริ่มเข้ามาค่อนข้างเยอะ ซึ่งอาจทำให้ไลฟ์สไตล์ของคนพม่าเปลี่ยนแปลงไป แต่เนื่องจากวันนี้พม่ายังไม่เปิดรับเรื่องเฟอร์นิเจอร์เท่าไร หลังรายได้ต่อคนยังไม่สูงมากนัก แม้ภาคการก่อสร้างจะมีจำนวนมากก็ตาม

ครั้นจะให้เราหันไปทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้สัก เพื่อขายให้คนพม่าคงไม่ได้ เพราะไม้สักส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาลพม่า หากจะนำไม้ขอเขามาใช้ต้องผ่านหลายขั้นตอน ที่พม่าเขามีกระทรวงปลูกไม้ กับกระทรวงตัดไม้นะ ฉะนั้นหากจะเข้าไปพม่าจริงๆคงต้องหาพันธมิตรที่โน่น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะพม่าเพิ่งเปิดประเทศเขายังไม่รู้ระบบการเงิน เคยไปนั่งกินข้าวกับนักธุรกิจพม่า เขาพกเงินมาเป็นกองๆเลย

โดยปกติประเทศที่นิยมใช้เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ต้องเป็นประเทศที่มีการพัฒนามาแล้วระดับหนึ่ง ย้อนกลับไปดูเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนมีเพียงห้องแถวเท่านั้นที่นิยมใช้เฟอร์นิเจอร์ แต่เมื่อประเทศเริ่มมีการลงทุนต่างๆ ความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ก็เริ่มมากขึ้น ตามรายได้ของประชากรที่เพิ่มขึ้น“อารักษ์” ให้ความรู้

“รายได้-กำไร” พุ่ง 15% เป้าปีนี้

ถามถึงผลประกอบการในปี 2557 “อารักษ์ สุขสวัสดิ์” เชื่อว่าอาจขยายตัวกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,193 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 40.79 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้แล้ว 334 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 22.60 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 2 เท่าที่ดูตัวเลขแล้วน่าจะออกมาใกล้เคียงไตรมาสแรก เพราะมีวันหยุดสงกรานต์หลายวัน

เหตุผลสำคัญที่จะผลักดันตัวเลขทั้งปีนี้ให้เติบโตตามเป้า ข้อแรก ที่ผ่านมาเราทำการตลาดในและนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง ข้อสอง บริษัทออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มสินค้าในตลาดสม่ำเสมอ ซึ่งทีมงานจะมีการออกแบบสินค้าใหม่ๆทุกวัน ข้อสาม มีการจัดการระบบบริหารโรงงาน และระบบจัดซื้อ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นการสร้างผลกำไรมากขึ้น

“ทุกเดือนผมจะเรียกระดับผู้จัดการโรงงานมาคุยกันตลอดว่า แต่ละเดือนต้องทำตัวเลขให้ได้เท่าไร ซึ่งผมมักบวกตัวเลขเข้าไปอีก 5 เปอร์เซ็นต์ จากเป้าหมายของผู้จัดการโรงงาน หากทีมใดทำได้ผมจะให้รางวัลตอบแทน ถือเป็นการสร้างกำลังใจอย่างหนึ่งให้กับเหล่าพนักงาน”

อนาคตมีแผนจะย้ายหุ้น ECF ไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) หรือไม่ “เอ็มดีใหญ่” บอกว่า หลายคนเห็นเราเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 130 ล้านบาท เป็น 195 ล้านบาท ไม่ได้หมายความว่า มีเป้าหมายจะย้ายไป SET เร็วๆนี้ ตอนนี้ขอซื้อขายใน mai ไปก่อน แต่หากบริษัทเติบโตมากขึ้นค่อยว่ากัน

“วันนี้เรากำลังแข่งอยู่ในชั้น “แชมเปี้ยนส์ลีก” หากฐานแข็งแกร่งมากขึ้น เราคงไม่รีรอที่จะเลื่อนไปสู่ชั้น “พรีเมียร์ลีก” อย่างแน่นอน ”

แท้จริงแล้วเรื่องสำคัญนอกเหนือตัวเลข คือ “บุคลากร” วันนี้พนักงานหลายคนของเรายังอยู่ในช่วงปรับตัว เมื่อก่อนพนักงานไม่เคยทำงานแข่งกับเวลา ไม่เคยถูกกดดันเรื่องกำไร แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว ที่ผ่านมาละลายพฤติกรรมไปบ้างแล้ว หากเขาผ่านเรื่องนี้ไปได้แล้วพร้อมเดินหน้าไปกับเรา ECF คงเดินหน้าอย่างมั่นคงแน่นอน "ลำพังผมคนเดียวคนไม่มีปัญญา" วันนี้มีพนักงาน 700 คน ลดลงจาก 1,000 กว่าคน หลังนำเครื่องจักรมาทดแทนคน และบริษัทประสบปัญหาค่าแรง 300 บาทต่อวัน

“นายใหญ่” ทิ้งท้ายว่า วันนี้หุ้น ECF ยังไม่มีกองทุนมาเยี่ยมชมกิจการหรืออยากครอบครองหุ้นของเรา นั่นเป็นเพราะเรายังใหญ่ไม่พอ แต่เชื่อว่า ความมุ่งมั่นของทีมบริหารที่ต้องการทำให้บริษัทมีกำไรโตต่อเนื่อง และต้องการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีกว่า 1,685 ราย คงทำให้กองทุนหันมาสนใจเราสักวัน

วันนี้ราคาหุ้น ECF ปรับตัวขึ้นมาเยอะมากเมื่อเทียบกับราคาไอพีโอ 1.20 บาท ถือเป็นการสะท้อน “จุดเด่น” หลายๆอย่างที่เราเพียรทำมา ที่ผ่านมาบล.บัวหลวงให้ราคาเป้าหมายหุ้น ECF ประมาณ 3.30 บาท หลังเขาเข้ามาขอฟังข้อมูลของบริษัท ส่วนโบรกเกอร์อื่นๆที่เข้ามาขอฟังข้อมูล ส่วนใหญ่ให้ราคาเหมาะสม 3.80 บาท

“ตั้งแต่นำ ECF เข้าตลาดหุ้น ความคิดหลายอย่างของผมเปลี่ยนไป เช่น เริ่มเห็นช่องใหม่ๆในการเดินไปให้ถึงถึงเป้าหมาย เป็นต้น จากเมื่อก่อนคิดแค่ว่า หากอยากขยายงานต้องพึ่งเงินแบงก์กับสองมือของตัวเอง แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า สามารถหาเงินได้จากเครื่องมือทางการเงินที่ตลาดหุ้นมีให้ แม้ว่าแรกๆจะใช้ไม่เป็น หรือไม่อยากใช้ แต่เมื่อผมอยากเป็น “ผู้บริหารมืออาชีพ” เราคงต้องทำ”