ปูดจัดจ้างโอเว่อร์ฮอลรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมาคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศได้มีการประชุมนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาโครงการซ่อมบำรุงใหญ่ขบวนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ จำนวน 9 ขบวน ของบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด (รฟฟท.) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟฯ โดยข้อเสนอของ รฟฟท.ที่นำเสนอต่อบอร์ดรถไฟฯนั้น จะขออนุมัติหลักการการจัดหาบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการซ่อมบำรุงใหญ่ขบวนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ด้วยวิธีพิเศษวงเงินดำเนินการ 636 ล้านบาท โดยให้เหตุผลเนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องเวลาในการจัดหาอุปกรณ์อะไหล่ซ่อมบำรุง

คณะกรรมการรถไฟฯ เห็นว่ายังคงมีข้อมูลบางประการที่จำเป็นต้องให้ฝ่ายบริหารชี้แจงเพิ่มเติม จึงได้ขอให้ ผู้ว่าการรถไฟฯ นำเรื่องดังกล่าวเสนอให้บอร์ดรถไฟพิจารณาอีกครั้งในกลางเดือนหน้า ขณะที่ตัวประธานบอร์ดรถไฟฯ และกรรมการอีกหลายคนได้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งแล้วตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนบอร์ดรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับภารกิจใหม่ของ คสช.

ทั้งนี้ ข้อเสนอของการรถไฟฯที่นำเสนอบอร์ด ร.ฟ.ท.เพื่อขออนุมัติจัดจ้างผู้รับเหมาซ่อมบำรุงใหญ่ขบวนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ดังกล่าว กว่า 600 ล้านบาทนั้น ถือเป็นการดำเนินการที่ขัดแย้งกับคำสั่งของคสช.ที่มีคำสั่งไปยังส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่งให้ชะลอการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่มีวงเงินสูงเกิน 100 ล้านบาท ไว้ก่อน เพื่อรอการตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการ โดยจะต้องทำเรื่องขอความเห็นชอบจากคสช.ก่อน แต่ฝ่ายบริหารรถไฟฯกลับพยายามดันทุรังเร่งรัดขอให้บอร์ดอนุมัติโครงการดังกล่าวออกไป

"ถือเป็นความพยายามทิ้งทวนก่อนการปรับเปลี่ยนบอร์ดตามนโยบายคสช. เพียงแต่บอร์ดรถไฟฯเห็นว่าหากอนุมัติออกไปอาจก่อปัญหาตามมา จึงได้ขอให้ฝ่ายบริหารเสนอเรื่องกลับมาในบอร์ดอีกครั้งในกลางเดือนหน้า ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการแต่งต้ังบอร์ดรถไฟชุดใหม่เข้ามารับหน้าเสื่อแทนแล้ว"

ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดความปลอดภัยนั้น จะต้องทำการซ่อมบำรุงใหญ่ขบวนรถไฟฟ้าเมื่อผ่านการใช้งานมาครบ 1.2 ล้านกิโลเมตร แต่การรถไฟได้ขอให้บริษัท รฟฟท.ดำเนินการปรับปรุงตารางการเดินรถเพื่อยืดอายุการโอเว่อร์ฮอลล์เครื่องออกไปเป็นปลายปี 2557 และได้เสนอให้เร่งรัดจ้างเหมาเอกชนดำเนินการด้วยวิธีพิเศษ ก่อนจะมีการปรับปรุงรายละเอียดงานโอเว่อร์ฮอลล์ต่างๆ และมีการปรับราคาวงเงินในการดำเนินการจาก 300 ล้านบาท เป็น 636 ล้านบาท อีกทั้งลดปริมาณงานเดิมจาก 11 ระบบเหลือเพียง 4 ระบบเท่านั้น