ถ้าสายป่านยาวก็ทยอยซื้อลงทุน

ถ้าสายป่านยาวก็ทยอยซื้อลงทุน

รายงานผลประกอบการ 1Q57 ของบจ.ที่ออกมาดีกว่าที่เราเคยประเมินไว้เล็กน้อย

เนื่องจากหลายบริษัทยังมีคำสั่งซื้อและโมเมนตัมทางบวกจากปลายปีก่อนทำให้ยอดขายและกำไรในไตรมาสแรกของปีนี้ไม่ได้ลดลงมากนัก แต่หลายบจ.ที่เราไป Company Visit กล่าวว่าจะเห็นการอ่อนแอของผลประกอบการชัดเจนมากขึ้นใน 2Q57 เพราะคำสั่งซื้อชะลอตัวมาตั้งแต่ปลาย 1Q57 เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองยืดเยื้อ เราประมาณการว่า EPS Growth ของตลาดหุ้นไทยในปี 57 จะขยายตัว 9% และเติบโต 13% ในปี 58 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขประมาณการดังกล่าวมี Downside Risk หากผลประกอบการบจ.แย่ลงมาใน 2Q57 ซึ่งจะทำให้เป้าหมาย SET Index ปี 57 ของเรามีสิทธิต่ำกว่าปัจจุบันที่ 1455 จุด (อิงกับ P/E ปี 57 ที่ 14.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับ Mid-High ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปี และ EPS Growth 9%)

มีโอกาสที่สถาบันจัดอันดับเครดิตจะลดความน่าเชื่อถือของไทยลง โดยปัจจัยหลักที่กดดันอันดับเครดิตคือ ภาวะสุญญากาศทางการเมืองทำให้เศรษฐกิจถดถอย ความแข็งแรงของภาคธุรกิจลดลงอันเนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานชะลอตัวตามการค้าขายที่ซบเซา และโอกาสที่จะเกิดหนี้เสียมีมากขึ้น ซึ่งทางสศค.ประเมินว่าฟิทช์ เรตติ้งส์ น่าจะเป็นแห่งแรกที่ปรับลดเครดิตของไทย หลังจากนั้น มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ก็อาจจะปรับลดเครดิตประเทศไทยตามมา ถ้าปัญหาการเมืองยังไม่ยุติภายในกลางปีนี้ ในด้านผลกระทบเรื่องการลงทุนโดยตรง เม็ดเงินลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (FDI) อาจพิจารณาไปลงทุนในประเทศอื่น โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่กำลังจะเข้ามาลงทุนในไทย

ในระยะสั้นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่เป็นประเด็นที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมาก คือ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะจบอย่างไรและเมื่อไร โดยเรามองว่าคำตอบของการจบอย่างไรมีผลกระทบต่อตลาดน้อยกว่าการจบเมื่อไร เนื่องจากปมการเมืองกดดันธุรกิจ การลงทุน และเศรษฐกิจมาหลายเดือน จนทำให้นักลงทุนอยากให้ภาวะสุญญากาศจบลงโดยเร็ว ไม่ว่าจะจบลงด้วยการเจรจาหรือด้วยแนวทางอื่นใดก็ตาม ดังนั้นถ้ามีสัญญาณว่าความยืดเยื้อทางการเมืองจะยุติและใกล้จะได้รัฐบาลที่มีอำนาจบริหารประเทศจริงๆ เข้ามา ก็น่าจะเป็นข่าวบวกกับตลาดหุ้นซึ่งมักจะมองข้าม Shot ไปข้างหน้า (แต่ภาคเศรษฐกิจจริงจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกระยะ) สำหรับเรื่องรายงานผลประกอบการ 1Q57 ของบจ.และปัจจัยภายนอก ในระยะสั้นมากมองว่ามีน้ำหนักค่อนข้าง Neutral

กลยุทธ์การลงทุน สำหรับการเก็งกำไรรอบสั้น เน้นซื้อตามด้วยค่าบวกหรือเมื่ออ่อนตัวที่แนวเด้ง 1370, 1350-1340 จุด แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1390, 1400 จุด ส่วนการลงทุนระยะกลาง-ยาว เรามองว่าการลดลงของราคาหุ้นเป็นจังหวะทยอยซื้อลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานมั่นคง ธุรกิจฟื้นตัวเร็วเมื่อปัญหาการเมืองยุติและเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมทั้งฐานะการเงินแข็งแรง จ่ายปันผลดีสม่ำเสมอ หุ้นที่เราชอบในแต่ละกลุ่มหลัก ได้แก่ KBANK, PTTGC, PTT, DTAC, INTUCH, SPALI, CPN, STEC, SCC, AOT, CPALL, TUF เป็นต้น