'อภิรดี เอี่ยมพึ่งพร'รีมาสเตอร์ธุรกิจไฟว์สตาร์

ไฟว์สตาร์ค่ายบุกเบิกหนังไทย'อภิรดี เอี่ยมพึ่งพร'สายเลือดรักหนังปีที่41ยืนหยัดทำหนังคว้าทั้งเงินและกล่องฟื้ันอาณาจักรธุรกิจครอบครัวสู่พันล้าน
“ถ้าใครมีเงินอย่ามาทำหนังเอาไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์หรือซื้อบ้าน" วลีผ่านบทสนทนาที่บรรยายถึงความสาหัสของคนทำหนังจาก “อภิรดี เอี่ยมพึ่งพร” กรรมการผู้จัดการ ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น ลูกสาวคนโตของ "เกียรติ เอี่ยมพึ่งพร" ผู้ให้กำเนิดไฟว์สตาร์ ผลิตหนังไทยรุ่นบุกเบิกจนย่างก้าวสู่ปีที่ 41 บนการเปลี่ยนหน้าผู้เล่นมากมาย แต่น้อยรายจะยืนหยัด
สำรวจความคุ้มค่าทางธุรกิจ การทำหนังแต่ละเรื่องกำไรและขาดทุนขึ้นลงเร็วเหนือความคาดหมาย อัตราเสี่ยงสูง จากหลากภาวะแวดล้อม หนังแนวอาร์ท โดนใจวัยโจ๋ หรือการทุ่มเททำตลาดอย่างไม่ยั้ง หาใช่ทางสู่ความสำเร็จเต็มร้อยเสมอไป
“เสี่ยงยิ่งกว่าเล่นหุ้น !!!” ลูกสาวคนทำหนังเทียบเคียงธุรกิจในเธอประสบ
ใกล้ตัวที่สุดสถานการณ์การเมืองในช่วงที่ผ่านมา ที่เร่งให้ห้างสรรพสินค้าปิดเร็ว ในเวลา 6 โมงเย็น ทำให้หนังไทยต้องหลบชะตากรรมเลื่อนลงจอ อย่างหนังเรื่อง “ตีสาม” ภาค 2 ของไฟว์สตาร์ต้องเลื่อนไปลงจอในเดือนที่ผ่านมา เลื่อนยังไม่ร้ายเท่ารายได้พลาดเป้า 50 ล้านบาท ทำได้เพียง 25 ล้าน
ยังดีที่มีลูกค้าที่เป็นพันธมิตรต่างชาติ ซื้อหนังไปฉายต่อ
“ทำหนังไม่ได้เป็นตามฤดูกาล (Season) และตลาด เช่น โค้ก เปลี่ยนกระป๋องตามเทศกาลบอลโลกคนก็กิน แต่หนังนี่เข้าฉายวีคสองวีคแรกมาเจอห้างปิด 6 โมงเย็นเสียชีวิตเลย ลงทุนโฆษณาไปแล้ว ถอดหนังไม่ได้ แม้แต่ผู้สร้างหนังมานานยังบอกไม่ได้ว่าเรื่องไหนจะกำไรหรือขาดทุน” เธอเล่า
แล้วไฉนทายาทไฟว์สตาร์ (ยังคง) เลือกโดดเข้ามาในธุรกิจนี้ !!??
ทั้งๆ ที่ทางเลือกมีมากมาย ของนักเรียนนอก ดีกรีปริญญาโทการตลาด จากสหรัฐอเมริกา ใช้ชีวิตทำงานและเรียนหนังสือในต่างแดนกว่า 10 ปีจนเกือบลงหลักปักฐานในอเมริกา เคยผ่านงานในธุรกิจโรงแรมและเครื่องใช้ไฟฟ้า เรียกได้ว่าประสบการณ์ช่ำชอง
แต่เธอกลับเลือกคืนสู่วงการ "เร่ขายหนัง"
“จบการตลาดนั่นหมายถึงคุณไปขายอะไรก็ได้ในโลกใบนี้ แต่กิ๊กเลือกทำหนังเพราะนี่เป็นธุรกิจครอบครัว” อภิรดี เล่า
เธอเล่าต่อว่า ภาพยนตร์เป็นธุรกิจครอบครัว เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เธอคือสายเลือดไฟว์สตาร์ เมื่อถึงเวลาจะต้องกลับมาเดินตามรอยเจเนอเรชั่นแรก และเจนฯ 2 คุณพ่อ (เกียรติ) ผู้ก่อตั้ง และคุณอา (เจริญ ) ที่เข้ามาช่วยดูแลตลาดต่างประเทศ
“ความที่เติบโตมากับหนังจนเรียกว่าอยู่ในสายเลือด และต้องกลับมาดูแลแม่ เลยต้องกลับมาช่วยคุณอา สานต่อธุรกิจครอบครัวที่พ่อวางไว้ก่อนจากไป“ เธอตอบถึงที่มาของการตัดสินใจคืนสู่บ้านเกิด
อภิรดีในวัย 38 ยังบอกเล่าถึง "ภารกิจ" นำพาธุรกิจครอบครัวให้ยืนยาวต่อจากพ่อและอาว่า
ภารกิจใหญ่คือการพาหนังไทยสู่เวทีโลก เธอจัดแจงเข้าไปเจรจาเข้าหาช่องทางการขาย เจาะฐานลูกค้าและพันธมิตรในต่างแดนโดยไม่ผ่านดีลเลอร์
ผลงานที่บุกต่างแดนสำเร็จ เช่น การนำหนังเรื่องลองของ เป็นชู้กับผี รวมถึงอินทรีแดง เข้าฉายใน 6,000 กว่าโรงหนังในจีน ตามมาด้วยโรงหนังในอินโดไชน่าและเอเชีย ขยายไปถึงตลาดยุโรป และอเมริกา โดยโมเดลสำคัญในการบุกตลาดโลกของไฟว์สตาร์คือการร่วมทุนสร้าง (Co-Production) กับต่างชาติ
ทำให้ได้ทั้ง "เงินทุน" และ "การตลาด"
“ร่วมทุนสร้างทำให้เพิ่มตลาดและมูลค่าหนัง โดยเฉพาะหากต้องใช้เงินลงทุนทำหนังสูงหลักร้อยล้าน จะหวังตลาดในเมืองไทยอย่างเดียวคงไม่คุ้มแน่ ต้องมีพาร์ทเนอร์พาไปขยายตลาดให้กว้างขึ้น โปรดักชั่นก็ต้องมีคุณภาพมากขึ้น"
เธอเล่าว่า ไฟว์สตาร์ผ่านมาแล้วในหลาย "จุดเปลี่ยน" ตั้งแต่ยุคคนทำหนังรายเดียว ไม่มีคู่แข่ง ทำเรื่องไหนก็ขายได้มีแฟนๆ รอซื้อตั๋วเข้าชมบนจอ อาทิ น้ำพุ วัยอลวน กว่าจะรู้เดียงสา คู่กรรม บุญชู อนึ่งคิดถึงพอสังเขป มาจนถึงยุคคู่แข่งล้นหลาม เศรษฐกิจแย่ก็ยังไม่หยุดผลิตหนัง แม้ยุคเศรษฐกิจตกต่ำสุดขีดในปี 2540 คนไทยก็ยังได้ชมหนังไฟว์สตาร์
“เราอยู่มาได้ขนาดนี้ ถือว่าเราเจ๋งมาก กิ๊กว่า วันที่เรามีเงิน เราก็จะไม่หยุดทำหนัง ไม่หันไปทำอย่างอื่นอย่างอสังหาริมทรัพย์ หรือกอดเงินไว้ในกระเป๋าออกจากวงการ"
เพราะเราทำด้วยใจรัก หนังคือธุรกิจหลัก (Core Business) เธอเล่า
ขณะที่ภารกิจถัดมาของคนทำหนังยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มหรือช่องทางรับชมหลากหลาย คอนเทนท์ที่ต้องมีคุณภาพ ทายาทไฟว์สตาร์ จึงต้องลุกขึ้นมาปัดฝุ่น "มรดกภาพยนตร์" ในมือ
"หนังเก่าเต็มคลังห้องสมุดจะเป็นตัวชูโรงทำรายได้ให้ค่ายหนังไฟว์สตาร์" เธอเล่า
พร้อมไปกับการตั้งเป้าเติบโตของรายได้ก้าวกระโดดเป็น 1,000 ล้านบาท ในปี 2557 จากรายได้ที่ไต่เวียนวนอยู่ที่หลักร้อยล้านมานานนับสิบปี
คอนเทนท์มากมาย สอดประสานกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยี และแพลตฟอร์ม ทั้งทีวีดิจิทัล โมบาย อินเทอร์เน็ต เคเบิลทีวี นี่คือโอกาสของธุรกิจหนัง โดยแท้ !!
“หนังแต่ละเรื่องเป็นระดับตำนาน มีคุณภาพที่คนในยุคนั้นพูดถึง เป็นประวัติศาสตร์ที่ทำให้คนคิดถึง ติดตาม”
ยุคคอนเทนท์มีค่าดั่งทอง ไฟว์สตาร์ จะทำตัวเองเป็น "คลังหนัง" ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่มีหนังมากกว่า 260 เรื่อง พร้อมกับละคร อีก 600 ชั่วโมง บวกกับลิขสิทธิ์หนังเอเชียกว่า 60 เรื่อง ถูกที่ถูกเวลาพร้อมป้อนให้กับทีวีดิจิทัล 24 ช่อง ซึ่งกำลังวิ่งหาคอนเทนท์ให้วุ่น
ขณะที่พันธมิตรเจ้าใหญ่ๆ อยู่ระหว่างการทาบทาม เช่น ช่อง 3 ไทยรัฐ และ PPTV ทั้งค่ายเพย์ทีวี และฟรีทีวี ที่วิ่งเข้าหาคอนเทนท์ป้องจอดำ รวมถึงช่องทางนิวมีเดีย ขายผ่าน iTunes Store และ Google Play Store
“หนังพร้อมฉายทันทีโดยไม่ต้องสร้างใหม่ ซึ่งใช้เวลาถึง 7 เดือนกว่าจะถ่ายเสร็จ 1 เรื่องซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะผลิตคอนเทนท์ได้เพียงพอ”
ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสในการ "รีมาสเตอร์" (Remaster) คลังหนังเก่าระดับตำนานย้อนเวลากลับมาขายใหม่ คุณภาพเทียบเท่าสร้างหนังใหม่ ชนิด HD (High Definition)
ภาพยนตร์เก่าๆ ที่สะท้อนเรื่องราวคนยุคก่อน แต่คุณภาพจะไม่เก่า ด้วยการควบคุมการผลิตของหัวขบวนทีมผู้ผลิต "เกียรติกมล เอี่ยมพึ่งพร" น้องชายของอภิรดี ที่นั่งเก้าอี้รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น ผู้พลิกฟื้นภาพหนังเก่าให้เข้ากันได้กับยุคดิจิทัล โดยทุ่มทุน 200 ล้านบาท แต่มีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์คอนเทนท์คืนมาถึง 500 ล้านบาท
“หนังหลายเรื่องเมื่อรีมาสเตอร์แล้วฟีลลิ่งมันต่างกันเลย พี่หนุ่ย อำพล กลับมาหนุ่มไม่มีรอยตีนกา คุณภาพชัดเจน ไม่มีลายเส้นควรค่าต่อการเก็บสะสม”
รายได้อีกส่วนหนึ่งยังมาจากการลงทุนทำหนังเรื่องใหม่ปีละ 4-5 เรื่อง และรายได้จากการนำหนังมาลงจอแก้วผลิตเป็นละคร หรือรายการทีวี ยุคหนึ่งที่ไฟว์สตาร์เคยทำมาแต่เลิกไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับเจ้าของช่อง
“กำลังเจรจากับเจ้าของช่องเพื่อนำหนังลงเป็นละคร ส่วนรายได้จากการขายคอนเทนท์หนังเก่าก็เหมือนน้ำซึมบ่อทรายที่ขายได้เรื่อยๆ ส่วนการผลิตหนังใหม่ทุกปีทำให้ลูกค้ารู้จักและเปิดช่องทางการขายหนังเก่ากับลูกค้าใหม่ๆ”
เธอทิ้งท้ายว่า แม้จะกระโดดลงจอแก้ว หรือยุคนี้มีทั้งจอแบน และจอสมาร์ทโฟน ทว่า ไฟว์สตาร์ ยังปักหมุดหมายหลักที่การทำหนัง ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยเรื่องละ 40-50 ล้านบาทถือว่าอยู่รอดได้ ด้วยโมเดลผลิตแล้วขายต่างประเทศ ต่อลมหายใจ ไม่ได้หวังว่าทุกเรื่องต้องทำรายได้หลักร้อยหลักพันล้าย
เอาแค่ทุกเรื่องไม่เจ๊ง นำเสนออรรถรสใหม่ๆ ที่หลากหลาย และนานๆ จะถูกหวยสักเรื่อง เป็นพอ







