เข็มทิศเปลี่ยนชีวิต พันธกิจของ"เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล"

เข็มทิศเปลี่ยนชีวิต พันธกิจของ"เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล"

เธอคือคนรุ่นใหม่ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยดังทำงานในสถาบันการเงินชั้นนำของโลก แต่เลือกกลับมาริเริ่มธุรกิจด้านการแนะแนวเพื่อเปลี่ยนชีวิตเด็กไทย

“เมษ์ ศรีพัฒนาสกุล” เด็กไทยวัย 27 ปี ที่บินลัดฟ้าไปค้นหาโลกกว้างในต่างแดน ตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เธอคือนักเรียนทุนรัฐบาลสิงคโปร์ (Pre-University) จบปริญญาตรีด้าน วิศวกรรมชีวภาพ (Science in bioengineering) ที่มหาวิทยาลัยดัง University of Pennsylvania ต่อด้วย ปริญญาโท ด้าน MBA ที่มหาวิทยาลัย Stanford สหรัฐอเมริกา

เธอมีประสบการณ์ทำงานในสายการเงินมาโดยตลอด เคยทำงานที่ เครดิต สวิส ประเทศสิงคโปร์ และ เจพี มอร์แกน ที่ฮ่องกง

“เมษ์” ไม่ได้มีแค่ประสบการณ์ชีวิตที่น่าทึ่ง แต่เธอยังมีความฝันและอุดมการณ์ ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้นักการเงินรุ่นใหม่อนาคตไกล ตัดสินใจหันหลังให้กับทุกอย่าง แล้วกลับมาบ้านเกิด เพื่อทำงานด้านการพัฒนาการศึกษาที่ประเทศไทย

โดยริเริ่มกิจการเล็กๆ ร่วมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จัดตั้ง “Ideal Prep” ธุรกิจการศึกษาที่มุ่งเน้นแนะแนวให้คำแนะนำเด็กๆ ในระยะยาว และ “Asian Leadership Academy” หรือ ALA กิจการเพื่อสังคมที่มุ่งพัฒนาความเป็นผู้นำและการเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง เวลาเดียวกันก็รับหน้าที่เป็น ผู้จัดการโครงการสร้างสถาบันวิจัยระบบการเรียนรู้ ของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

“ทำงานในสายการเงิน ก็สนุกและท้าทายนะ แต่ที่ตัดสินใจออกมา มันเหมือนค้นพบตัวเองว่า สนใจในธุรกิจการศึกษา คือ ตั้งแต่อายุ 17 ก็มีน้องๆ มาขอคำแนะนำตลอด อย่างเรื่องไปเรียนต่อ หรือไปฝึกงานสายอาชีพต่างๆ น้องบางคนเขามีความสามารถนะ แต่ไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหนดี เราก็เหมือนเป็นรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาก่อน และผ่านการเรียนในต่างประเทศมาด้วย ก็ให้คำแนะนำไป ซึ่งก็ทำมาเรื่อยๆ และมีความสุข”

เธอบอกว่า การทำงานที่เหมือนเข็มทิศเล็กๆ ให้กับใครคนหนึ่ง และสามารถเปลี่ยนชีวิตใครคนนั้นได้ สำหรับเธอแล้วนั่นต่างหากที่เรียกว่า “ความสุข”

การได้ริเริ่มธุรกิจการศึกษาด้านแนะแนว “Ideal Prep” อย่างจริงๆ จังๆ ไม่ใช่แค่พี่เมษ์แนะนำน้องเหมือนสมัยเด็ก โดยหวังว่างานที่ทำ จะสามารถเปลี่ยนแปลงค่านิยมของเด็กไทย และระบบการแนะแนวการศึกษาของเมืองไทยให้ดีขึ้นได้

“เราต้องการเปลี่ยนค่านิยมของเด็กหลายคน ที่เวลาไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็แค่จ้างใครก็ได้มาเขียนใบสมัครให้ ซึ่งมันไม่ใช่ เราอยากให้น้องๆ รู้ว่า เขาสามารถทำเรื่องนี้เองได้ และอยากให้เขียนความจริง เพราะมีกรณีที่คนไทยแต่งเรื่องขึ้นมา และมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ ไม่ชอบ นี่จึงเป็นการแนะนำเขาว่า ควรจะเตรียมตัวอย่างไร และการเตรียมตัวในระยะยาวนั้นสำคัญ”

เธอเล่าการทำงานของ Ideal Prep ที่ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เตรียมเด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่คือ การเตรียมชีวิตของใครคนหนึ่งในระยะยาว เป้าหมายจึงเป็นการพัฒนาเด็กไทยโดยรวม ตั้งแต่ ส่งเสริมการเรียนรู้ อ่านเขียน ความเป็นผู้นำ ความรู้รอบตัว และทักษะอื่นๆ ที่ยังขาดไปในระบบการศึกษาของเด็กไทย ซึ่งจำเป็นต่อการเรียนต่อ และใช้ชีวิตในอนาคต

“ทีมงานของเราจะมีทั้งพี่ๆ ที่อยู่ในสาขาวิชาชีพต่างๆ มาแนะนำการเรียนให้ มีทีมจิตแพทย์เด็ก ที่จะคอยแนะนำน้องๆ อย่างบางคนที่ขาดแรงขับในการเรียน เขาจะต้องทำอย่างไร ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การเตรียมตัวเพื่อให้เขาเข้าเรียนได้ แต่ให้เขาค้นพบตัวเอง เพื่อเตรียมชีวิตในระยะยาว”

ขณะที่ Asian Leadership Academy (ALA) ที่เริ่มมาได้กว่าสองปี ได้รับทุนสนับสนุนเริ่มต้นจาก Center for Social Innovation ที่ Stanford Graduate School of Business โดยเริ่มแรกตั้งใจให้เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพราะแอบหวังเล็กๆ ว่า การทำเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา น่าจะหาแหล่งทุนสนับสนุนจากคนไทยใจดีได้ไม่ยาก แต่เอาเข้าจริงเธอสารภาพว่า การหาทุนในประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยากมาก และต้องใช้พลังเยอะมากๆ ที่สำคัญนี่ไม่น่าจะใช่โมเดลที่จะทำให้องค์กรยั่งยืน เลยมองที่จะใช้โมเดลแบบธุรกิจ มาทำให้กิจการอยู่ได้ ในรูปแบบของ Social Enterprise (SE) กิจการเพื่อสังคม เพื่อให้มีรายได้มาจูงใจคนคุณภาพให้เข้ามาเป็นโค้ชให้มากขึ้น เพื่อแนะแนวเด็กๆ ได้มากขึ้น จนส่งผลกระทบสู่สังคมในวงกว้างขึ้นในที่สุด

แนวทางหารายได้ คือ การจัดคลาสอย่างต่อเนื่อง เน้นไปในสามเรื่อง คือ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารในที่สาธารณะ และ การทำงานเป็นทีม ความเป็นผู้นำ ซึ่งนอกจากกลุ่มเป้าหมายเป็น โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ยังขยายบริการไปยัง ลูกค้าองค์กรอีกด้วย โดยปรับหลักสูตรที่สามารถบูรณาการเข้ากับความต้องการของลูกค้าคนทำงาน
การทำกิจการเพื่อสังคม (SE) ไม่ง่าย และยังต้องอาศัยการเรียนรู้ แต่เธอบอกว่า สิ่งสำคัญ คือ ต้องคิดถึงผลกระทบต่อสังคมก่อน แล้วเงินก็จะเข้ามาเอง แต่ถ้ามัวแต่คิดเรื่องจะหาเงินอย่างไร สุดท้ายสังคมก็จะไม่ได้อะไร เพราะการทำเพื่อสังคมและการทำเพื่อธุรกิจ มันห่างกันแค่เส้นบางๆ เท่านั้น

“อย่างเวลาเปิดคอร์สอะไรขึ้นมาสักอย่าง ในทางสังคมเราจะคิดราคาที่สูงมากไม่ได้ เพราะต้องการให้คนทุกคนสามารถเข้ามาเรียนได้ และเข้าถึงให้มากที่สุด แต่ถ้าไม่ต้องเพื่อสังคมเลย เราก็อาจตั้งราสูงๆ ใครมีกำลังจ่ายก็จ่าย เพราะเราไม่ต้องแคร์อยู่แล้วว่าใครจะมาใช้ได้บ้าง มันก็จะขาดส่วนที่ทำเพื่อสังคมไป นี่คือสิ่งที่เราต้องตระหนักให้มากในการทำกิจการเพื่อสังคม”

วันที่ตัดสินใจออกจากงานในบริษัทใหญ่ เธอบอกว่าโชคดีที่ครอบครัวไม่มีใครคัดค้าน เพื่อให้ลูกได้เดินตามความฝันของตัวเอง เธอเสียอีก ที่กลับต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะรู้ว่าการอยู่ในวงการการเงินก็ก้าวหน้า ขณะที่อีกงานก็รัก แต่หนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ คือการได้รู้จักกับ “African leadership academy” โรงเรียนที่แอฟริกาใต้ ของศิษย์เก่าสแตนฟอร์ด ที่ไม่ได้เน้นแค่วิชาการ แต่ยังมีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ทำด้วย และการได้พูดคุยกับเด็กๆ ทำให้เธอยิ่งทึ่งและอยากให้เด็กไทยเป็นได้อย่างนี้บ้าง

“มีน้องคนหนึ่งมาปรึกษาว่าจะเปิดธนาคารในโรงเรียน เขาเริ่มเก็บเงินกับเพื่อนๆ แล้ว อีกคนอยากเปิดร้านอาหาร น้องคนหนึ่งทุกวันหยุดก็จะเข้าไปทำกิจกรรมในสลัม มันเป็นภาพที่ประทับใจมากที่เด็กๆ ได้รับการเรียนสอนแบบนี้ตั้งแต่เขายังเด็ก และอยากให้มีที่เมืองไทยบ้าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชอบด้านนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่กว่าจะรู้ตัว ก็เริ่มหาข้อมูล คุยกับเพื่อน ศึกษาความเป็นไปได้ และทำมาเรื่อยๆ ยิ่งพอได้เจอน้องๆ ที่รู้สึกดีกับสิ่งที่เราทำ ก็เหมือนถูกเติมไฟไปเรื่อยๆ จนลืมไปแล้วว่า มันคืองาน”

เธอบอกความสุขที่ได้จากการตัดสินใจแสนยากในตอนต้น และคุ้มค่าที่สุดแล้วกับรางวัลที่ได้รับบนเส้นทางนี้
สำหรับน้องๆ ที่อยากเป็น SE มีกิจการของตัวเองและยังได้ทำเพื่อสังคมด้วย เธอบอกว่า หนึ่งเลยคือ ต้องมีใจเพื่อสังคม และสองแม้ทำงานด้านนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดโอกาสในงานด้านอื่น เพราะเราสามารถทำอะไรหลายอย่างควบคู่กันไปได้ ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องเป็น SE เท่านั้นถึงจะทำเพื่อสังคมได้

ขอแค่มีใจเพื่อสังคม ไม่ว่าจะทำงานด้านไหน เก่งเรื่องใด ก็สามารถใช้สิ่งที่มีสร้างผลกระทบดีๆ สู่สังคมได้เช่นเดียวกัน