'เฉลิมศักดิ์ กายจนวรินทร์'จัดสมดุล องค์กร-ลูกค้า-พนักงาน

'เฉลิมศักดิ์ กายจนวรินทร์'จัดสมดุล องค์กร-ลูกค้า-พนักงาน

เกือบ 2 ทศวรรษ ที่'เฉลิมศักดิ์ กายจนวรินทร์'ปั้น "ฮาซเคม" สู่ธุรกิจโลจิสติกส์เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตรายร้อยล้าน เดินคู่กับพันธกิจองค์กรแกร่ง

เป็นหัวเรือใหญ่ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนธุรกิจบริการขนส่งและโลจิสติกส์เฉพาะทาง (Niche market) อย่างเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตรายแบบครบวงจรทั้งทางบก ทางน้ำและอากาศ สำหรับ "ตูน เฉลิมศักดิ์ กายจนวรินทร์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮาซเคม โลจิสติกส์ แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้คร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจด้านนี้มาเป็นเวลายาวนานถึง 17 ปี

เกือบ 2 ทศวรรษของการปลุกปั้นองค์กรตั้งแต่เริ่มต้น จวบจนวันนี้เขามองไกล ขยายองค์กรให้เติบใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่เป้าหมายใหญ่ “องค์กรต้องยืนหยัดอย่างยั่งยืน” เฉลิมศักดิ์ ยังเริ่มต้นบทสนทนาโดยการหยิบยกชีวิตวัยเยาว์มาเล่าว่า

เขาเป็นนักบริหารที่ไม่ได้มีต้นทุนชีวิต ต้นทุนทางสังคมที่สูงมากนัก เพราะครอบครัวไม่ได้ฐานะดี หาเช้ากินค่ำ ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตั้งแต่เด็ก แต่เขาโชคดีที่พบจุดเปลี่ยนชีวิตเมื่อได้รับ “โอกาส” จากมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย โครงการบ่อนไก่ ศูนย์ประสานงานเขตคลองเตย อุปการคุณให้ทุนเล่าเรียนประถมกระทั่งจบ ปวช. จากอัสสัมชัญพาณิชยการ

เมื่อจบปวช.เขายังได้รับการอุปการะจากชาวออสเตรีย ที่คอยสนับสนุนด้านการศึกษาจนจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ชีวิตช่วงนั้นยังลำบาก ระหว่างเรียนภาคค่ำ กลางวันต้องทำงานปั๊มเงิน แต่ชีวิตไม่เลวร้ายเสมอไป เพราะการเรียนครั้งนั้นเขาได้พบกับ "ทิพย์ ดาลาล" ผู้บริหารกลุ่มบริษัท ทิพเพิล ไอ โลจิสติกส์ ที่วันนี้เป็นซีอีโอของกลุุ่ม ผู้ชักชวนเขามาร่วมงานเมื่อเดือนกันยายน 2539 ในตำแหน่งพนักงานบริการลูกค้า

ด้วยความสามารถด้านภาษาที่โดดเด่น ฉายแววรุ่ง ผ่านไป 7-8 เดือน ก็ถูกผลักดันให้ทำงานกับชาวต่างชาติ และตั้งบริษัทมีพนักงานไม่กี่คน ครั้นเรียนจบก็ถูกโปรโมทให้เป็นผู้จัดการ ด้วยวัยเพียง 22 ปี พอจบปริญญาโท ก็ถูกโปรโมทสู่ตำแหน่งงาน ผู้จัดการอาวุโส

“ตอนนั้นเจ้านายกลัวลาออกมั้ง..!!” เขาพูดติดตลก ก่อนขยายความว่า “การไต่หน้าที่ ผมโตเร็วมากและเร็วเกินไปเมื่อเทียบกับคนอื่น เมื่อก่อนกลุ่มทริพเพิลไอมีพนักงาน 300 คน ผมโตทะลวงทุกคน”

เมื่ออ่อนด้วยวัยวุฒิ การทำงานร่วมกับผู้ใหญ่ ทำให้การกำกับคนเหล่านั้นยากมาก แต่เขาก็พิสูจน์การทำงานด้วยความเป็น “มืออาชีพ” เฉียบคมในการตัดสินใจ ช่วยเหลือทีมงาน สะท้อนการเป็นหัวจักรสำคัญขับเคลื่อนงานให้เดินหน้า

“ทำงานกับผู้ใหญ่ ต้องทำให้เขาไม่มีคำถาม เพราะผมห่วงมาก ผมเด็กมากกว่าเขา จะทำยังไงให้เขารู้สึกว่า มั่นใจ อยู่กับเราแล้วงานไปได้งานเดินหน้า องค์กรโตเรื่อยๆ" ที่สำคัญเมื่อลงมือทำงานจะจริงจังกับงานมาก โดยไม่ยึดติดคิดว่าบริษัทเป็นของใคร แต่จะทุ่มเททำงานหนักเต็มที่ เพื่อให้ผลงานออกมาดี ท้ายที่สุดบริษัทก็จะดีด้วย

วันนี้เขายังมุ่งพัฒนาองค์กร ฐานลูกค้าให้และพนักงานให้เติบโตควบคู่กันไป ซึ่งกลายเป็นหลักคิดในการทำงาน เพราะเชื่อว่าเมื่อองค์กรโต ลูกน้องต้องโตตาม นั่นยังเป็นการ "คืน" โอกาสให้พนักงาน เช่นเดียวกับที่เคยได้รับเสมอมา

"พอองค์กรโตขึ้น เราเติบโตในหน้าที่ พนักงานก็ต้องโต จึงเริ่มมองสิ่งที่คุณทิพย์ให้โอกาสผม คือให้เราโต และไม่คิดว่าจะเป็นโอกาสที่จะได้ พนักงานคนอื่นก็คงคิดเหมือนกัน" สิ่งนี้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรของฮาซเคม

"เราจะไม่รับใครเข้ามาแซงหน้าคนในองค์กร ถ้าไม่จำเป็น ถ้าเมื่อใดก็ตามองค์กรโต พนักงานก็ต้องโต พนักงานไหนมีศักยภาพดึงขึ้นมาทำหน้าที่"

นโยบายดังกล่าวทำให้ฮาซเคมเสียโอกาสได้ "หัวกะทิ" มาร่วมงานหรือไม่? เป็นคำถามที่เจอบ่อย แต่ "เฉลิมศักดิ์" ชี้ข้อดีของธุรกิจนิช มาร์เก็ต โลจิสติกส์เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ตลาดไม่มีใครทำมากนัก ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็เป็นทุนข้ามชาติ ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง บริษัทจึงทำตลาดแบบโฟกัส ควบคู่กับพัฒนายกระดับทรัพยากรมนุษย์ได้คล่องตัว

"บทเรียนที่ได้จากการจ้างคนที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมาทำงานของเรา จะพบว่ามีปัญหาเรื่องทัศนคติ เพราะเขาอยู่ในโลกของเขามานาน พอมาเจอโลกธุรกิจเรา เขาก็อยากทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ซึ่งไม่ใช่แนวคิดของฮาซเคม การดึงพนักงานใหม่ๆเข้ามา ฟูมฟักปลุกฝังแนวคิด ปั้นให้เขาโตกลับเป็นเรื่องดีกว่า" เวลากว่า 10 ปี ฮาซเคมจึงรับพนักงานภายนอกที่มีประสบการณ์ น้อยมากและ 4 บริษัทในกลุ่มฮาซเคมมีพนักงาน 90 ชีวิต ก็ขับเคลื่อนองค์กรให้มีรายได้หลายร้อยล้านบาท

แต่ภารกิจใหม่ของ "เฉลิมศักดิ์" ในวันนี้คือการผลักดันฮาซเคม สยายปีกสู่เวทีโลจิสติกส์ "ภูมิภาค" รุกประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสิงคโปร์ เตรียมเจาะอินโดนีเซีย มาเลเซีย ปูทางสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 2558 โดยไม่หวั่นกับการแข่งขันบนสังเวียนระดับสากล

นี่ยังเป็นยุทธวิธีกระจายความ "เสี่ยง" ที่หาช่องโตให้ธุรกิจโตได้อีกทางหนึ่ง

ลุยนอกบ้าน แต่ยังเผชิญโจทย์ใหญ่ในประเทศที่ต้องรับมือกับทุนข้ามชาติจ่อเข้ามาปักธงรบ แต่ฮาซเคม ไม่เคยหวั่นเกรง และไม่ประมาท ซึ่งเขาเชื่อในความ "แข็งแกร่ง" ของบริษัท บวกกับการสั่งสมประสบการณ์มายาวนานในการบริการโลจิสติกส์เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย จึงหมายมั่นผันแปรศัตรูมาเป็นมิตรให้ธุรกิจ Win win

เขายังสร้างปราการเสริมใยเหล็กให้องค์กร ด้วยการ "ฝังตัว" ช่วยเหลืองานในสมาคมต่างๆ เชื่อมโยง(Relate)อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ สินค้าอันตราย ธุรกิจโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าฯลฯ กระทั่งถูกส่งตัวไปอบรมบ่มเพาะความรู้จากการศึกษาดูงานในต่างประเทศ เรื่องการจัดการสารเคมี แล้วกลับมาตอบแทนเป็น Speaker เรื่องการจัดการสารเคมี เป็นมรรควิธีสร้าง "เครือข่าย" ธุรกิจได้เป็นอย่างดี

"เหมือนเราเป็นไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก เจอแมนยูฯ เชลซี สู้ได้ไหมไม่รู้ แต่สู้ตาย เทียบสเกลเท่ากันชนกันอาจสู้ยาก ทั้งเงินทุน เครือข่าย แต่เชื่อว่าถ้าอยู่ในบ้านเรา ไม่กลัว ความคิดเหล่านี้ตกผลึกจากการวางแผนธุรกิจในอดีต การจะสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ เป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ มันไม่ง่าย"

มีรายได้จากธุรกิจที่มาจากเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ทำให้บริษัทต้องยึดถือความรับผิดชอบเป็นตัวตั้ง ทั้งต่อพนักงาน ลูกค้า สังคม ชุมชน นี่เป็นแนวคิดและปรัชญาในการทำงานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย

"เราจะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างเดียว มันสอดคล้องกับธุรกิจเรา แต่ก็ใช้ได้ทุกบริษัท อะไรไม่ถูก ต้องไม่ทำ เราต้องนึกถึงความปลอดภัยของชีวิตพนักงานเราก่อน" เรื่องนี้ทำให้เกิดความเห็นต่าง โดยเฉพาะทีมงานขายหรือเซลล์ที่ต้องเร่งทำยอดขายให้ได้ตามเป้า ก็ต้องทำความเข้าใจในทิศทางเดียวกันถึงการสร้างธรรมมาภิบาลให้องค์กร

นอกจาก "ตอบแทน" องค์กรแล้ว สิ่งหนึ่งที่เฉลิมศักดิ์ ยังแบ่งปัน "โอกาส" กลับคืนสู่สังคมผ่าน "โครงการส่งน้องจบป.ตรี" ของมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ที่อุปการะเด็ก 4 คน ให้ได้รับการศึกษา เพื่อช่วยบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ที่ดีให้งอกเงยสู่สังคมได้มากขึ้น

"เคยเกิดจากที่นั่น (มูลนิธิศุภนิมิตฯ) พอมาอยู่ที่นี่ก็อยากทำกิจกรรมดีๆเพื่อสังคม ร่วมกับมูลนิธิฯ เพื่อส่งเสริมให้คนเห็นคุณค่าในการให้โอกาสเด็กๆ" และยังจัดกิจกรรมเปิดบ้านทุกปี เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาสาขาโลจิสติกส์ได้เรียนรู้ อีกมุมหนึ่งยังเป็นกระจกสะท้อนให้พนักงาน ทำงานอย่างรอบคอบ และตอบคำถามสังคมได้ถึงสิ่งที่ดำเนินการ