เอสเอ็มอีอีสานความเชื่อมั่นทรุด ต้นทุนพุ่ง

อีสานโพลเผยไตรมาส 3 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิตเอสเอ็มอีอีสานทรุด! ผลพวง"ต้นทุุนพุ่ง-แข่งขันเดือด-อำนาจซื้อลด"
ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยผลสำรวจเรื่อง “ดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิตของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในไตรมาสที่ 3/2556 (MSSI)” ผลสำรวจพบว่า ภาพรวมความเชื่อมั่นภาคการผลิตของเอสเอ็มอีลดลงค่อนข้างมาก โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์เป็นสาขาที่มีการปรับตัวลดลงมากที่สุด รองลงมาคือ สาขาอาหารและเครื่องดื่ม สาขาผลิตภัณฑ์โลหะ และสาขาเครื่องเรือน
การสำรวจนี้เป็นความร่วมมือระหว่างคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สาขาการผลิต ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 5- สิงหาคม - 6 กันยายน 2556 จากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 680 ราย จากจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา และอุบลราชธานีโดยมีรายละเอียดดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าและอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าฐาน (หมายเหตุ: ดัชนีค่าฐาน เท่ากับ 50 หมายความว่า ความเชื่อมั่นคงเดิม) โดยปรับจากที่ระดับ 45.3 ลดลงมาที่ระดับ 41.6 เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุนและยอดขายที่ปรับตัวลดลงอย่างมากเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า จึงมีผลทำให้ผลรวมของค่าดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันปรับตัวลดลง หากพิจารณาเป็นรายสาขา พบว่า มี 4 สาขาที่ลดลง คือ โดยสาขาเคมีภัณฑ์เป็นสาขาที่มีการปรับตัวลดลงมากที่สุด รองลงมาคือ สาขาอาหารและเครื่องดื่ม (จำนวนผู้ประกอบการมากที่สุดในสาขานี้) สาขาผลิตภัณฑ์โลหะ และสาขาเครื่องเรือน ตามลำดับ ส่วนอีก 6 สาขาที่เหลือ พบว่า ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 สาขาที่ลดลง เป็นกลุ่มใหญ่ของธุรกิจ SMEs ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงทำให้ภาพรวมของค่าดัชนีในปัจจุบันลดลง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิตไตรมาสหน้าก็ถูกคาดการณ์ว่าจะลดลงจาก 50.0 เหลือ 47.9 นั่นคือไตรมาส 4 ปีนี้ SMEs อีสานยังไม่เชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ในส่วนของค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมในปัจจุบัน พบว่า ค่าดัชนีปัจจุบันปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยปรับจากที่ระดับ 48.1 มาอยู่ที่ระดับ 47.3 ในส่วนของค่าดัชนี ความเชื่อมั่นคาดการณ์ฯ พบว่า ค่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากที่ระดับ 53.0 ในไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 55.5 ในไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเอสเอ็มอีอีสาน คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจประเทศไตรมาส 4 น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดิม
ผลการคำนวณเฉลี่ยทุกสาขาพบว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจทั้งปัจจุบันและอนาคต ที่มีนัยยะ ในระดับมากคือ ราคาน้ำมัน/ค่าขนส่ง ต้นทุนสินค้า/ค่าแรง และการแข่งขันในตลาด ตามลำดับ ปัจจัยระดับปานกลาง ประกอบด้วย ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และอำนาจซื้อของประชาชน การหดตัวของความต้องการสินค้า คุณภาพบริการของสาธารณูปโภค และสภาวะเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ทางการเมือง และมาตรการต่างๆจากภาครัฐบาล ตามลำดับ
ขณะที่ปัจจัยที่มีผลเพียงเล็กน้อยคือ สภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราแลกเปลี่ยน ตามลำดับ จากค่าคะแนนดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเน้นตลาดภายในประเทศเป็นหลัก และมีส่งออกตลาดต่างประเทศบ้างแต่มีปริมาณที่ไม่มากนัก
ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง มีความเชื่อมั่นในการพยากรณ์ 99.0% และคลาดเคลื่อนได้บวกลบ 5.0% ประกอบด้วย กลุ่มประเภทธุรกิจ ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 40.59 กลุ่มสิ่งทอ ร้อยละ 15.90 กลุ่มเครื่องแต่งกาย ร้อยละ 12.04 กลุ่มผลิตภัณฑ์จากไม้ ร้อยละ 12.50 กลุ่มเคมีภัณฑ์ ร้อยละ 3.40 กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก ร้อยละ 3.24 กลุ่มผลิตภัณฑ์อโลหะ ร้อยละ 4.78 กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ร้อยละ 3.09 กลุ่มเครื่องจักร ร้อยละ 3.86 และกลุ่มเครื่องเรือน ร้อยละ 0.62
รูปแบบการจดทะเบียน แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 9.16% ธุรกิจเจ้าของคนเดียวจดทะเบียน 26.40% ธุรกิจเจ้าของคนเดียวไม่จดทะเบียน 19.57% ห้างหุ้นส่วนจำกัด 6.99% ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 0.78% ห้างหุ้นส่วนสามัญ ไม่เป็นนิติบุคคล 0.16% อื่นๆ 36.96%







