อาเซียนใช้พลังงานพุ่ง ปรับเทคโนฯถ่านหิน

อาเซียนใช้พลังงานพุ่ง ปรับเทคโนฯถ่านหิน

เปิดผลศึกษาความต้องการใช้ถ่านหินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น50%ในปี2578ไทยเสี่ยงความมั่นคงพลังงานมากสุดในอาเซียน

พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานร่วมกับทบวงพลังงานระหว่างประเทศ หรือIEA จัดประชุมเพื่อนำเสนอผลการศึกษา แนวโน้มพลังงานโลกในอนาคต ฉบับปี2556 (World Energy Outlook 2013) ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมการศึกษาทิศทางพลังงานในอนาคตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน

IEA ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในอาเซียนจะเติบโตเกือบ 3 เท่าในปี 2578 จำนวนประชากร จะเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในขณะที่ความต้องการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 80% โดยความต้องการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว และสัดส่วนถ่านหินสำหรับการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นจาก 30 %ในปัจจุบัน เป็น 50 %

ผลการศึกษาระบุด้วยว่า อาเซียนจะกลายเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ เป็นอันดับ4 ของโลก รองจาก จีน อินเดีย และ อียู โดยปริมาณการนำเข้าจะเพิ่มจาก 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงด้านน้ำมันและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยไทยกับอินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายค่าน้ำมันมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 3 เท่าไปอยู่ที่ระดับเกือบ 7 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2578

พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ที่มีการนำเข้าพลังงานจำนวนมาก ซึ่ง IEA ประเมินด้วยว่า ความต้องการใช้พลังงานจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 80% เทียบเท่าการขยายตัวของอาเซียน

IEA ยังระบุด้วยว่า หากไทยไม่ดำเนินนโยบายเพิ่มการใช้ถ่านหิน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และแผนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะกลายเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงานมากที่สุดในอาเซียน

"มุมมองของ IEA ต่ออาเซียนและประเทศไทย ถือว่ามีความสำคัญต่อการจัดวางยุทธศาสตร์และจัดทำแผนต่างๆให้มีความสอดคล้อง โดยเฉพาะเรื่องของถ่านหิน ซึ่งจะต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน"พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าว

นางมาเรีย ฟาน เดอ โฮลเวน กรรมการบริหาร ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ กล่าวว่า เชื้อเพลิงถ่านหินจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ ในการกำหนดอนาคตพลังงานของภูมิภาคอาเซียน เพราะปริมาณสำรองถ่านหินที่มีจำนวนมากและมีราคาต่ำ แต่การนำถ่านหิน มาใช้ในการผลิตไฟฟ้า จำเป็นจะต้องใช้เทคโนโลยี ที่มีความทันสมัย

การพบเชลล์ก๊าซ ในจีนและอินโดนีเซีย จะไม่มีผลต่อการใช้ก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคอาเซียนมาก เพราะยังไม่มีความพร้อมเรื่องของการนำก๊าซขึ้นมาใช้ ที่ต้องมีการลงทุนระบบท่อส่งก๊าซ ซึ่งแตกต่างจาก การค้นพบเชลล์ก๊าซของสหรัฐ

แต่อาเซียนคงจะคาดหวังใช้ก๊าซจากสหรัฐไม่ได้ เพราะสหรัฐคงจะหันมาใช้เซลล์ก๊าซที่ค้นพบในประเทศหรือส่งออกเฉพาะมิตรประเทศของตัวเองเท่านั้น

นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานมีการจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน ที่มีเป้าหมายการลดการใช้พลังงานให้ได้ 25 % ใน 20 ปีและแผนพัฒนาพลังงานพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน 25% ภายใน10 ปี ซึ่งสอดคล้องกับมุมมอง ของ IEA

อย่างไรก็ตามในสัดส่วนการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ พีดีพี ฉบับล่าสุด จะต้องมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินให้มากขึ้น ซึ่งจะต้องเร่งทำความเข้าใจกับภาคประชาชนให้เห็นถึงความจำเป็น โดยโรงไฟฟ้าถ่านหินอาจจะสร้างในประเทศ หรืออาจจะสร้างที่ประเทศเพื่อนบ้าน