ถอดคมคิด"เกรแฮม คลาร์ก"นักสร้างโลก 3 มิติ

การสร้างโลก3มิติ ให้กับฮอลลีวูด คงจะเป็นความฝันของเด็กไทยหลายคน แม้ฝันจะดูยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เพราะ ชีวิตลิขิตเองได้
“เด็กไทยเก่ง และมีที่ฝีมือโดดเด่นมากๆ”
คำหวานที่ “เกรแฮม คลาร์ก” (Graham D. Clark) กูรูแอนิเมชั่นชื่อดังจากฮอลลีวูด ฝากถึงเด็กไทย หลังเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ที่ Ryerson University และ Computer Art แห่ง Savannah College of Art and Design (SCAD) และมีโอกาสสอนเด็กไทยแล้วพบว่า ฝีมือ “ไม่เบา” ในเรื่องนี้
การพบปะกันครั้งแรกของ กรุงเทพธุรกิจ Bizweek และ เกรแฮม คลาร์ก เริ่มขึ้นเมื่อครั้งเขามาเป็นวิทยากร ในงาน สัมมนาเชิงปฏิบัติการ "3 มิติ Stereoscopic for Movie and Animation" ที่ประเทศไทย ตามคำเชิญของ สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่น และคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย หรือ TACGA
เลยมีโอกาสได้พูดคุยถึงชีวิตและแรงบันดาลใจ ที่ไม่เคยหลุดจากเส้นทางฝันของผู้ชายคนนี้
“เกรแฮม คลาร์ก” ศึกษามาทางด้าน วิจิตรศิลป์, ภาพวาด,ภาพยนตร์, ศิลปะ คอมพิวเตอร์สื่อศิลปะและภาพเคลื่อนไหว ชีวิตการทำงานของเขา เริ่มต้นจากการเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่ Ryerson University และ Savannah College of Art and Design (SCAD) ตอนทำงานเป็นคณบดีคณะ Computer Art ได้ก่อตั้งหลักสูตรทั้งปริญญาตรีและโท ถึง 5 หลักสูตร ทางด้านการพัฒนาเกม, Motion Graphic และ Broadcast Design
หลังออกจากงานสอนหนังสือ เขาได้ทำงานกับบริษัท Production house เช่น PSYOP , The Mill และ Studio Nouveau ในตำแหน่ง Senior Pipeline and Animation 3D เบื้องหลังเกมยอดนิยมอย่าง Resident Evil
ในปี 2010 ก็เป็นหัวหน้างานกำกับดูแลงานด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิก และวิชวลเอฟเฟกต์ให้กับภาพยนตร์อย่าง BARNYARD THE MOVIE ของ Paramouth/Omation และเริ่มทำงานเป็นนักสร้างภาพ 3 มิติ (Stereographers)ให้กับภาพยนตร์ ที่ Paramouth Pictures ในยุคที่ 3D ยังไม่บูมขนาดนี้
จนปัจจุบัน มาเป็นหัวหน้าฝ่าย Stereography ของบริษัท “Stereo D” ผู้ให้บริการผลิตและดูแลเรื่องการสร้างสรรค์ความเป็น 3 มิติของภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ซึ่งล้วนผ่านสายตาคนไทยมาแล้วทั้งนั้น อย่าง JACKASS 3D , THOR, CAPTAIN AMERICA,TITANIC 3D,JURASSIC PARK 3D,PACIFIC RIM และTHE AVENGERS เหล่านี้เป็นต้น
“คลาร์ก” ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต สิ่งที่เขาย้ำตลอดการสนทนา ถึงหัวใจสู่ความสำเร็จ ก็คือ
..ชีวิตลิขิตเอง..
“เราต้องเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของเราเอง ถ้ามีความฝันอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าปล่อยให้เป็นแค่ฝัน ขอให้ลงมือทำในทุกวินาที และจงเชื่อมั่นในสิ่งนั้น”
เขาบอกจุดเริ่มต้นของความคิดที่จะนำพาความสำเร็จมาให้ใครสักคนได้
ขณะที่หัวใจต่อมาก็เป็นคำสั้นๆ “คน” การทำงานทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับ “คน” และคนก็คือหัวใจสู่ความสำเร็จ
“คน คือสิ่งสำคัญที่สุด การทำงานล้วนเกี่ยวข้องกับคน แม้เราสามารถคิดกระบวนการทำงาน หรือเครื่องมือที่เจ๋งที่สุดออกมาได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ถ้าคนไม่มีส่วนร่วม และไม่ใช่แค่การทำงานร่วมกับคนเท่านั้น แต่คำๆ นี้ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำออกไป ก็เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับคนดู ฉะนั้นคนจึงเป็นทุกสิ่งและสำคัญที่สุด”
การปรับทัศนคติ มาตั้งโจทย์ในการทำงานโดยเริ่มจาก “คน” และให้ความหมายไปที่ “คน” จะนำผลที่แตกต่างและยั่งยืนมาสู่ธุรกิจ เขาเปรียบเทียบให้ฟังว่า เช่นเดียวกับ ธุรกิจสื่อ ถ้าคิดแบบธุรกิจ เราอาจวางเป้าหมายสูงสุดก็คือ “ทำเงิน” แต่จริงๆ แล้ว หน้าที่ของสื่อ ยังเป็นการให้ความรู้และทำให้คนฉลาดขึ้น ดังนั้นถ้าเชื่อเพียงเป้าหมายเดียว คือ เงิน คุณก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ แต่ถ้าตั้งเป้าหมายว่า “คนต้องมาก่อน” และมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายนั้น สุดท้ายธุรกิจก็จะไปตอบความสำเร็จเรื่องตัวเงินได้อยู่ดี และคิดแบบนี้ก็จะนำพาความยั่งยืนมาให้ด้วย
“ในองค์กรของผม การทำงานที่เป็นเชิงเทคนิคอย่างนี้ เราต้องคิดค้นเครื่องมือ หรือชุดคำสั่งต่างๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำงาน ซึ่งบริษัทอื่นเขาอาจคิดเครื่องมือเหล่านี้เพื่อมาจับผิด มาตรวจสอบพนักงานของเขา แต่ผมทำเพื่อช่วยเหลือพนักงานของผม ฉะนั้นมันจึงอยู่ที่ทัศนคติ ถ้าทุกอย่างคุณทำเพื่อคน และคิดว่าคนสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็เพื่อช่วยให้คนของเรามีความสุข ผมเชื่อนะว่าผลงานที่ดีที่สุดจะตามมาเอง”
เขาสะท้อนมุมคิดก่อนบอกว่า คงเพราะมีภูมิหลังเป็นอาจารย์ ไม่ใช่นักธุรกิจ ก็เลยมีความคิด ที่อยากจะ “ให้” มากกว่า “รับ”
นักสร้างโลก 3 มิติ บอกถึงเหตุผลที่เขาไม่เคยหลุดจากเส้นทางที่ชอบ เพราะ “หลงใหล” ในงานด้านนี้ งานสร้างภาพ 3 มิติ สำหรับเขาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีความท้าทายใหม่ๆ ให้ได้เรียนรู้ในทุกๆ วัน เขาไม่แค่หลงใหลมัน ทว่ายังเชื่อมั่นในงานด้านนี้ ทำให้แม้เจอกับอุปสรรคปัญหา ก็มองว่าเป็นความท้าทาย และสนุกที่จะได้แก้ปัญหาใหม่ๆ ในทุกครั้ง
ซึ่ง “ความเชื่อ” ที่มาพร้อม “ความสนุก” ในการแก้ปัญหา ก็เป็นอีกหัวใจในความสำเร็จของเขา
การทำงานท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เขาบอกว่าการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอุตสาหกรรมนี้ในยุคหน้า คือโจทย์สำคัญของเด็กไทย โดยจะต้องปรับตัว ปรับทัศนคติ และเข้าใจว่างานด้านนี้ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ จึงต้องมีความรู้ทั้งด้านศิลปะ เทคโนโลยี ตลอดจนความรู้ใน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และอีกหลายๆ ศาสตร์ ไม่เพียงด้านศิลปะเท่านั้น ฉะนั้นจงอย่าปิดกั้นตัวเอง และเตรียมรับมือกับอนาคตให้ได้
ขณะที่ต้องติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และน่าตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคหน้า คือการที่โลก 3 มิติ จะเคลื่อนเข้าหาตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าไม่ต้องเดินเข้าโรงหนัง เพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟนส่อง โลกทั้งโลกก็จะวิ่งเข้าหาตัวเราได้แล้ว
และนี่คือทิศทางที่โลกจะก้าวไป ซึ่งคนไทยก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าอยากพบโอกาสในเส้นทางนี้
“ทั้งหมดนี้คือโอกาส ขอแค่เด็กไทยแสวงหาความรู้ทั้งด้านเทคโนโลยี และศิลปะ ไม่ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง และติดตามโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้ให้ทัน เชื่อมั่นและลงมือทำมันในทุกวินาที พยายามออกไปหาโอกาสจากข้างนอก และคว้าโอกาสเหล่านั้นไว้ อย่างประเทศจีน ตลาดภาพยนตร์ 3 มิติ และอนิเมชั่น ยังมีความน่าสนใจและเติบโตได้อีกมาก ขอแค่เปิดกว้างก็จะประสบความสำเร็จได้ในเส้นทางนี้”
ถามถึงผลงานที่ชอบ เขายกให้ “THE AVENGERS” ที่ได้ร่วมงานกับทีมงานที่ดี ซึ่งเข้าย้ำว่า “ทีมเวิร์ค” สำคัญมากกับงานด้านนี้ เรียกว่าพอทำงานเข้าขากัน คนทำก็สนุกและผลงานที่ดีที่สุดก็จะผลิตออกมาได้
ได้ทำงานที่ท้าทายทุกๆ วัน แต่ใครจะคิดว่า ความฝันในชีวิตของผู้ชายคนนี้จะเรียบง่ายสุดๆ อย่าง การทิ้งเทคโนโลยี หันหลังให้เครื่องมือสุดไฮเทค แล้วกลับไปเป็นศิลปินวาดรูปเพื่อปลดปล่อยตัวเองได้อย่างอิสระ
ขณะที่เป้าหมายสูงสุดก็แค่ได้ใช้ชีวิตชิลๆ ริมชายหาดสักแห่งบนโลก ก็ตอบความสุขในชีวิตได้หมดแล้ว
“”””””””””””””””
Key to sucees
คิดแบบนักสร้างโลก 3 มิติ “เกรแฮม คลาร์ก”
๐ ชีวิตลิขิตเอง
๐ มีความฝัน ต้องเชื่อมั่น ลงมือทำทุกวินาที
๐ คน คือทุกสิ่ง และคน สำคัญที่สุด
๐ ปัญหาคือคามท้าทาย และสนุกที่จะแก้ปัญหา
๐ ต้องเรียนรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง
๐ ปรับตัวเพื่อโลกยุคหน้า ตามทันเทรนด์เทคโนโลยี







