ดุสิตธานีล็อกเป้าลงทุนต่างประเทศ

ดุสิตธานีล็อกเป้าลงทุนต่างประเทศ

"ดุสิตธานี"ล็อกเป้าลงทุนต่างประเทศ ดันรายได้-แบรนด์ แข่งกลุ่มไฮเอนด์

ธุรกิจโรงแรมในไทยนับว่ามีการแข่งขันมากที่สุดอันดับต้นๆของโลกก็ว่าได้ จากการผุดขึ้นจำนวนของโรงแรมทั้งภายในกรุงเทพฯ เฉพาะเส้นธุรกิจอย่างสุขุมวิทก็มีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นราว 6,000 ห้อง ทั้งโรงแรมระดับ ไฮเอนด์ (High End) 5 ดาวขึ้นไป และโรงแรมระดับกลางและเล็กตั้งแต่ 4 ดาวลงไป ยังไม่นับรวมกับโรงแรมในต่างจังหวัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชนินทธ์ โทณวณิก บมจ. ดุสิตธานี หรือ DTC วางแผนปรับยุทธ์ศาสตร์ครั้งใหญ่เบนเข็มลงทุนในต่างประเศมากขึ้นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ยังคงลูกค้าในกลุ่มระดับ High End เป็นหลัก เพื่อเป็นการตอกย้ำแบนด์ของดุสิตธานีในการแข่งขันกับโรงแรมในต่างประเทศ

การออกไปต่างประเทศ มีทั้งตลาดเอเซีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกา และยุโปร เพื่อเป็นการเปิดตลาดลูกค้าท่องเที่ยวใหม่ไม่ให้ซ้ำกับนักท่องเที่ยวในไทย พยายามหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ กลุ่มลูกค้าใหม่ ไกลออกไปจากไทย เพื่อจะเสริมไม่ได้แข่งกัน

ที่สำคัญจะเน้นการรับเข้าไปบริหารโรงแรมหรือที่เรียกว่า เชน เนื่องจากไม่ต้องใช้เงินลงทุนของบริษัท และสามารถคืนทุนได้ทันทีไม่เหมือนกับการเข้าไปลงทุนสร้างโรงแรมเองต้องใช้เวลาคืนทุนค่อนข้างนาน ที่สำคัญยังลดความเสี่ยง เช่นการเมืองในประเทศที่มีผลต่อธุรกิจโรงแรม

"พยายามเข้าไปรับบริหารมากขึ้นเพราะโลกเปลี่ยนแปลงไป เอเซียในสายตาของโลกในคนเอเซียด้วยกัเมื่อก่อนไม่ค่อยดีสู้แบนด์ต่างประเทศไม่ได้ แต่10 ปีผ่านมาบริษัทเอเซียไปแข่งกันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา และบริหารงานโรงแรมได้ดี ตอนนี้ทั่วโลกมองเอเซียศูนย์กลางธุรกิจ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวที่โตเร็วสุดคือเอเซีย"

ปัจจุบันโรงแรมที่ดุสิตธานีบริหารและลงทุน 17-18 แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้าไปรับบริหารมีทั้งหมด15 แห่ง มีที่เปิดไปแล้วคือมัลดีฟ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะเพิ่มจำนวนโรงแรมและการรับบริหารอีกเท่าตัว 13-14 แห่ง

ล่าสุดก็พึ่งจะมีการร่วมลงทุนทำโรงแรมที่สิงคโปร์ คาดว่าจะเสริมความแข็งแกร่งและสร้างชื่อให้กับแบนด์ดุสิตธานีได้ เพราะเป็นตลาดที่เข้าถึงได้ยากที่สุดในกลุ่มตลาดเอเซีย นอกเหนือจาก ฮ่องกง โตเกียวแถบตะวันออกกลางมี เปิดเพิ่ม 5 แห่งจากเปิดไปแล้วที่อาบูดาบี จะมีเปิดใหม่ที่ ไนโรบี เคนย่า และยังมีเปิดโรงแรมที่กวม อเมริกา

การที่ดุสิตธานีกล้าออกไปแข่งขันกับ เชน ดังๆในยุโรปและอเมริกา เพราะมั่นใจบริการของไทยสู้ได้แต่ทำไงให้รู้ หากไม่เริ่มก็ไม่ได้ทำและยังเป็นการสร้างแบนด์เอเซีย ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะรายได้จากการขยายงานจากการเข้าไปบริหารโรงแรม และ ได้ประสบการณ์ในการบริหารโรงแรมที่ไกลออกไป เพื่อชื่อเสียง จากสิ่งที่เกิดขึ้นชื่อโรงแรมดุสิตเมื่อไปเทียบกับบริษัทใหญ่ๆยังสู้ไม่ได้ วิธีที่ทำให้คนรู้จักมากขึ้นคือการไปอยู่ในต่างประเทศ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเปิดโรงแรมที่กวม ประมาณ 6-8 เดือนข้างหน้า ตลาดใหญ่คือญี่ปุ่น พอมีข่าวว่าจะไปเปิดโรงแรมเอเยนซี่ญี่ปุ่นคิดถึงดุสิตและเข้ามาคุยมากขึ้น เป็นการเสริมซึ่งกันและกัน

ด้านของรายได้ตอนนี้ยังอิงกับรายได้จากโรงแรมในประเทศประมาณ 80% แต่ใน 3-4 ปี ข้างหน้ารายได้จากโรงแรมในประเทศและต่างประเทศควรจะมีสัดส่วนเท่ากันคือ 50% และหากดูสัดส่วนรายได้จากการบริหารโรงแรมก็ยังคงน้อยเพียง 5 % ของรายได้ทั้งหมด ตั้งเป้าขยับเป็น 10 %

ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดุสิตธานีต้องทำให้เพิ่มมากขึ้นเพราะอยากที่จะเติบโตด้านนี้ มีหลายอย่างที่ทำให้ดุสิตมีเครือข่ายสู้กับบริษัทขนาดใหญ่ได้ ได้มีการเปิดสำนักงานในต่างประเทศ 5 แห่ง และมีพันธมิตรที่มีสำนักงานทั่วโลกเ 30 แห่ง มีโรงแรมดูแล 900 แห่ง ทีมงานดุสิตกับบริษัทขนาดใหญ่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย พร้อมที่จะออกแข่งขันและสามารถทำโรงแรมในสไตล์ที่ไม่เหมือนตะวันตก ทำเน้นเรื่องความเป็นไทย โชว์ความเป็นดุสิตธานี

ธุรกิจโรงแรมในไทยปัญหาของธุรกิจโรงแรมทั้งดุสิตธานีและโรงแรมอื่นๆคือการเติบโตเริ่มชะงักจากรายได้ต่อห้องไม่มีการขยับเลย จนปัจจุบันราคาห้องพักถูกกว่าเมื่อ 6 ปีที่แล้วเสียอีก ผลมาจาก 2 สาเหตุ ปัจจัยภายในประเทศที่ไม่นิ่งพอไม่นิ่งแล้วมีปัญหาตามมาสิ่งที่ธุรกิจโรงแรมต้องทำคือ ปรับราคาสู้ เอาราคาเข้าไปแข่งขัน

รวมทั้ง 4-5 ปีที่ผ่านมาโรงแรมเกิดขึ้นจำนวนมาก มีโรงแรมใหม่เข้ามา โรงแรมเก่าที่มีอยู่ก็พยายามดันราคาก็ขึ้นไม่ได้ น่าเป็นห่วง เพราะประเทศอื่นไปเร็วกว่าไทยเยอะ อัตราเข้าพักบางประเทศ เช่น สิงคโปร์เคยเท่ากับไทย ตอนนี้สิงคโปร์สูงกว่าไทย 3-4 เท่า

"ราคาค่าห้องพักในกรุงเทพฯยังถูกกว่าหลวงพระบางในลาว พม่าเติบโตก็จะถูกกว่าย่างกุ้ง ไทยเป็นประเทศที่มีค่าห้องพักถูกที่สุด สิ่งที่ภูมิใจว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ ได้รับการโหวตด้วยคะแนนน่าท่องเที่ยว น่าพักที่สุด แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดจากค่าพักถูกที่สุด น่าเสียดายถ้าสามารถขึ้นค่าห้องได้ 10%และลดจำนวนนักท่องเที่ยว 10%จะคุ้มกว่า"

ดังนั้นจึงมอง เป้าหมายใหญ่คาดหวังให้รายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15 % ต่อเนื่อง จะเน้นรายได้ในส่วนของต่างประเทศมากขึ้นรวมทั้งการเสริมในธุรกิจโรงเรียนสอนทำอาหารเป็นจุดเด่นของบริษัท และมีมาร์จิ้นดีปัจจัยลบแทบไม่มี และมีไม่กี่รายที่ทำธุรกิจนี้

แผนการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตดุสิตธานีจึงวางแผนที่จะให้ทั้งเงินกู้ กระแสเงินสด รวมทั้งการระดมทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว 2 กองทุน ภายใต้การบริหารการลง