วันฟ้าใสที่ “น้ำเกี๋ยน”

วันฟ้าใสที่ “น้ำเกี๋ยน”

ชุมชนน้ำเกี๋ยนถูกขนานนามว่าดงนักเลง ดึงดูดทั้งนักพนันและสารพันสิ่งผิดกฎหมายทว่าวันนี้ท้องฟ้าที่น้ำเกี๋ยนเปลี่ยนสีแล้วด้วยพลังสามัคคีของชุมชน

ดงยาเสพติด บ่อนวิ่ง เจ้ามือหวยไฮโล ขาไพ่ป๊อก ไพ่ตอง วงไฮโล พ่อค้าไม้เถื่อน เส้นทางผลประโยชน์ของธุรกิจใต้ดินนอกกฎหมาย แหล่งอำนาจมืดและอิทธิพลเถื่อนของเหล่าผีพนันและนักค้ายาเสพติด!

ใครจะคิดว่านี่คือภาพในอดีตของ “ชุมชนน้ำเกี๋ยน” ตำบลเล็กๆ ในอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ที่มีสมาชิก 5 หมู่บ้าน รวมกว่า 750 ครัวเรือน ซึ่งในวันนี้กลายเป็นชุมชนต้นแบบและดินแดนในฝัน ที่ใครๆ ต่างก็ถวิลหา

ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนดินแดนต้องห้าม ให้เป็นเมืองน่าอยู่ และร่ำรวยความสุข โดยไม่ต้องอาศัยกฎหมาย ไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ ไม่ต้องพึ่งพิงใครต่อใคร แต่อาศัยสองมือของพวกเขา “ล้วนๆ”

“ศิรินันท์ สารมณฐี” ผู้จัดการ วิสาหกิจชุมชนชีววิถีตำบลน้ำเกี๋ยน อ.ภูเพียง จ.น่าน บอกเล่าเรื่องราวของชาวน้ำเกี๋ยน ที่มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อคนในชุมชนเริ่มทนไม่ไหวกับสถานการณ์รายรอบ จึงหันหน้ามาพูดคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหา

“กว่า 20 ปี ก่อน บ้านน้ำเกี๋ยน เป็นชุมชนดงนักเลง ชาวบ้านไม่สามัคคีกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก ตอนหลังมีการลักลอบตัดไม่ทำลายป่า มีนายทุน ผู้มีอิทธิพลเข้ามา เป็นปัญหาใหญ่ในขณะนั้น ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน และพระ เลยหันมาพูดคุยกันและเกิดการรวมตัว เพื่อหาทางอนุรักษ์ป่า มีการเฝ้าระวังรักษาป่าไม้ จนประสบความสำเร็จ จึงแก้ไขปัญหาด้านอื่นตามมา”

ชุมชนน้ำเกี๋ยน เริ่มเปลี่ยนบ้าน โดยใช้ความเป็น “เครือญาติ” จากชุมชนเล็กๆ ที่ส่วนใหญ่ก็เป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น จนเมื่อชุมชนขยายใหญ่จากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้น มีการแยกหมู่บ้านออกเป็น 5 หมู่บ้าน แต่ชุมชนก็ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือแม้แต่แบ่งหมู่บ้าน ที่สำคัญสร้าง “ศรัทธาเดียว” โดยการมี “วัดเดียว” เพื่อยึดโยงศรัทธาของคนในชุมชนไว้

“ที่นี่ไม่แยกวัด เพราะการแยกวัด คือ แยกศรัทธา เรามีวัดโป่งคำ เป็นวัดเก่าแก่เพียงวัดเดียว อยู่ตั้งแต่เริ่มตั้งชุมชนมา ถึงตอนนี้ก็อายุกว่า 200 ปีแล้ว”

ที่น้ำเกี๋ยนไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่รัฐมาควบคุมดูแล แต่พวกเขาตั้ง “กฎกติกาของหมู่บ้าน” เป็นมาตรการควบคุมความประพฤติ “นอกลู่” ของคนในชุมชน

“เช่น ปัญหายาเสพติด เราก็ตั้งกฎกติกาขึ้นมา เรียกว่ามาตรการของหมู่บ้าน คือ ห้ามเสพ ห้ามขาย ไม่อย่างนั้นจะตัดขาดความช่วยเหลือจากชุมชน ใครเล่นการพนันในงานศพ จะถูกปรับ 2 พันบาท ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหามาได้เรื่อยๆ”

หรือมาตรการลดปัญหาบุหรี่ในชุมชน ก็ใช้วิธีขอความร่วมมือจากร้านค้าห้ามขายบุหรี่ ใครสูบก็ต้องเพียรพยายามไปซื้อจากที่อื่นเอง เธอเล่าให้ฟังว่า มีร้านขายของชำจากต่างถิ่นเข้ามาเปิด และประกาศที่จะขายบุหรี่เพราะมองว่าไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ชาวบ้านก็รวมตัวกันไม่ซื้อสินค้าจากร้านนั้น สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ก็ต้องปิดตัวไปในที่สุด

ผู้นำบ้านน้ำเกี๋ยนไม่ขึ้นกับพรรคการเมือง ไม่มีสังกัด ไม่ติดตามใคร ไม่ต้องกลัวปัญหาแบ่งสีแบ่งข้าง พวกเขาเลือกจัดตั้ง “42 ขุนศึก” แกนนำ 42 ชีวิต มาเป็นขุนศึกแห่งตำบลบ้านน้ำเกี๋ยน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาของชุมชน

หนึ่งกุศโลบายสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ จัดตั้ง “กลุ่มเสี่ยว” กลุ่มของคนที่เกิดปีพ.ศ.เดียวกัน มารวมตัวกัน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ผู้เฒ่าผู้แก่มาจนวัยรุ่นวัยกระเตาะก็มีกลุ่มเสี่ยวของตัวเองทั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 40 กลุ่ม รุ่นละ 60-70 คน บางรุ่นสมาชิกน้อยก็ต้องรวมกับรุ่นอื่น บางรุ่นเพื่อนร่วมปีเยอะมีสมาชิกมากถึง 100 คนก็มี

“เวลาครอบครัวของสมาชิกรุ่นไหนที่เสียชีวิต สมาชิกรุ่นเดียวกันก็จะเป็นเจ้าภาพร่วม กลุ่มเสี่ยวมีการออมเงินร่วมกัน ใครฐานะยากจน ไม่มีค่าเทอมให้ลูกๆ ก็จะลงขันกันเพื่อช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษา เจ็บป่วยก็ไปเยี่ยมเยียนไปดูแลกัน” พวกเขาบอกเล่ากุศโลบายง่ายๆ แต่ก็ได้ผลเอามากๆ ของคนน้ำเกี๋ยน จนเป็นชุมชนที่มีสวัสดิการดีเลิศก็จากแนวคิดเช่นนี้

หลายพื้นที่ประสบปัญหาพื้นฐาน ก็ต้องรองบประมาณจากหน่วยงานรัฐ มาช่วยเหลือ แต่ที่น้ำเกี๋ยน เรื่องแค่นี้ จิ๊บๆ

“เสน่ห์ของน้ำเกี๋ยน คือ เวลาทำอะไร เราจะมาลงขันช่วยเหลือกัน อย่าง ปัญหาน้ำในชุมชนไม่สะอาด ต้องไปซื้อน้ำมาบริโภค ตอนหลังคิดตั้งโรงงานผลิตน้ำดื่มขึ้น ชาวบ้านก็มาลงขันกัน จนเป็นโรงงานผลิตน้ำดื่มชื่อ น้ำเกี๋ยนวอเตอร์ ในวันนี้”

ไม่แค่โรงงานน้ำดื่ม แต่ไม่ว่าจะ โรงสีชุมชน สหกรณ์ร้านค้า งบพัฒนาสถานีอนามัย อบต. สถานที่สำคัญๆ ก็ล้วนมาจากการ “ลงขัน” ของชาวบ้านทั้งนั้น แน่นอนว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่เกษตรกร ไม่ได้ร่ำไม่ได้รวย แต่ “น้ำใจ” ของผู้คนที่นี่เต็มที่กว่าเงินในกระเป๋า เราเลยได้เห็นภาพการแบ่งปันกัน หรือ ลงแรงกายมาช่วยกัน ในทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่

“ทุกปีเราจะมีเงินขวัญถุงให้กับเด็กที่สอบเข้ามหาลัยได้ คนเฒ่าคนแก่ หรือใครที่อยากให้ ก็มาลงเงินกันคนละนิดคนละหน่อยเพื่อเป็นกำลังใจให้เด็กๆ สำหรับที่นี่ขอให้ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องดี ความร่วมมือก็จะตามมา”

ต้นทุนที่เข้มแข็ง จึงเป็น “ทุนทางสังคม” ที่ชาวบ้านรวมตัวกันอย่างดีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการมาถึงของผลิตภัณฑ์ชุมชน สารพัดของใช้ในบ้าน อย่าง สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน กว่า 30 รายการ ก็มาจากจุดเริ่มต้นเดียวกันนี้

“ปีหนึ่งเราจะมีการประชุมทำแผนพัฒนาตำบลกัน ซึ่งจากข้อมูลพบว่ารายจ่ายของชาวบ้านส่วนใหญ่จะหมดไปกับของใช้ในครัวเรือน อย่าง สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน เลยคิดทำใช้กันเองในชุมชน โดยใช้สมุนไพรที่มีอยู่กับภูมิปัญญาที่มี แล้วให้วิทยากรจากภายนอกมาสอน จากนั้นก็ทำแบ่งกันใช้ พอเหลือก็ขาย ตอนหลังขายดีเลยลงหุ้นรวมกลุ่มกันเป็นเป็น วิสาหกิจชุมชนชีววิถีตำบลน้ำเกี๋ยน เพื่อให้ยั่งยืน และเป็นมืออาชีพเหมือนบริษัทเอกชน”

“แบรนด์ชีวาร์” ที่มาจากคำว่า “ชีวะวิถี” หรือ วิถีชีวิตแบบธรรมชาติ คือผลิตภัณฑ์จากบ้านน้ำเกี๋ยน ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ สพภ. มาช่วยพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน บรรจุภัณฑ์ และการตลาดให้ จนผลิตภัณฑ์จากชุมชนเล็กๆ เป็นที่รู้จักของตลาดมากขึ้น มีลูกค้าทั้งขายปลีกและรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ โดยมีรายได้ประมาณ 2.5 แสนบาท ต่อเดือน และสร้างรายได้ให้ชาวบ้านจากการปลูกพืชสมุนไพรอีกด้วย

“ที่ชุมชนของเรา ในแต่ละปีจะมีคนมาดูงานเยอะมาก ก็จะบอกกับคนที่มาเสมอว่า อย่าทำตามคนอื่น แต่ให้ลองสำรวจชุมชนของตนเองก่อนว่า มีอะไรดี แล้วให้ทำสิ่งนั้น และในการรวมกลุ่มกัน อย่าเอาผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง แต่ให้เอาผลประโยชน์ไว้ข้างหลัง อย่าคิดตั้งกลุ่มขึ้นเพื่อแบ่งผลกำไรกันภายในสมาชิกเพียงไม่กี่คน อย่างนั้นจะไม่ยั่งยืน สุดท้ายก็ทะเลาะกัน และต้องยุบไปในที่สุด แต่รายได้และผลประโยชน์ต้องคืนสู่ชุมชนด้วย”

แม้จะเป็นวิสาหกิจชุมชน แต่เธอก็ย้ำว่า ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพราะเงินไม่ใช่ของใคร แต่เป็นเงินของทุกคน ที่สำคัญทุกครั้งที่วางกลยุทธ์ไม่แค่ ปีนี้จะโตเท่าไร แต่ต้องตั้งเป้าว่าจะคืนกำไรให้ชุมชนเท่าไรด้วย

และนี่คือคมความคิด ของชุมชนที่ไม่จนใจกับปัญหา และไม่เมินเฉยต่อวิกฤติ แต่พร้อมรวมพลังกันด้วยสมองและสองมือ เพื่อเปลี่ยนโลกมืดให้เป็นแสงสว่างที่ชุมชนของพวกเขา