ผู้นำที่ไม่มีเส้นชัย วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์

ผู้นำที่ไม่มีเส้นชัย 
วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์

ถ้าจะก้าวขึ้นไปอีกระดับก็ต้องไปสู้รบกับองค์กรอีกระดับ บุคลากรของเราต้องมีศักยภาพมากกว่าที่มีอยู่เดิม

ในอีก 2 ปีข้างหน้ากลุ่มบริษัทสามารถจะต้องขยับจากธุรกิจสื่อสารขนาดกลางเป็นขนาดใหญ่ ต้องเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี ที่มีความมั่นคง แข็งแรงและยั่งยืน


"วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเป้าหมายของเขากับกรุงเทพธุรกิจ ในบรรยากาศสบายๆ ภายใน SAMART Hall of Fame สถานที่ที่แสดงให้เห็นถึงอดีตที่ต้องฝ่าฟันของกลุ่มสามารถ กระทั่งเป็นธุรกิจที่มั่นคงแข็งแกร่ง และพร้อมจะไขว่คว้าโอกาสอย่างไม่หยุดยั้ง


อย่างไรก็ดีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น ย่อมหมายถึง "คู่ชก" ที่ต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นกลุ่มสามารถก็ต้องขึ้นไปต่อยกับมวยที่รุ่นใหญ่ขึ้นด้วย ยังไม่นับรวมถึง "ความเปลี่ยนแปลง"ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี หรือไลฟ์สไตล์ของคน


"เราคิดกันหนักว่าจะต้องทำอย่างไร ผมเลยจัดเวิร์คชอปและจับผู้บริหารไปเทรนความรู้กันใหม่ เพราะถ้าเราจะก้าวขึ้นไปอีกระดับก็ต้องไปสู้รบกับองค์กรอีกระดับ บุคลากรของเราต้องมีศักยภาพ และมีอะไรใหม่ๆ มากกว่าที่มีอยู่เดิม"


วัฒน์ชัยกำหนดว่าผู้เข้าโครงการเวิร์คชอปในครั้งนี้ ต้องเป็นผู้บริหารระดับคีย์แมน เป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ที่มีแนวโน้มจะได้รับบทแม่ทัพขององค์กร โดยเขาให้ทุกสายงานธุรกิจของกลุ่มสามารถดำเนินการคัดเลือกหา "คนมีแวว" และที่สุดก็ได้มาทั้งสิ้น 60-70 คน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้จะต้องเรียนรู้ทักษะแห่งอนาคตเป็นเวลาถึง 4 วันเต็มๆ


"เราอยู่ในธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก บุคลากรของเราต้องยอมรับ และต้องปรับตัวได้เร็ว วิธีก็คือต้องแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ต้องคอยฟังว่าโลกเปลี่ยนไปอย่างไรอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นในวันแรกของการเวิร์คชอปครั้งนี้จะมีผู้รู้และซัพพลายเออร์จากต่างประเทศมาพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้าให้ผู้เข้าอบรมฟังทั้งวัน"


ผู้นำยุคใหม่จะนั่งอยู่ในโลกเดิมๆ อยู่ในกรอบเดิมๆ ไม่ได้อีกต่อไป


นอกจากนี้ วัฒน์ชัย บอกว่าผู้ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำขององค์กรได้จะต้องเป็น "ผู้รู้รอบ"


ผู้ที่เข้าเวิร์คชอปจึงจะถูกติวเข้มในหลายๆ เรื่อง อาทิ การบริหารจัดการ การบริหารบุคลากร การบริหารการเงิน ตลอดจนการตลาดสมัยใหม่ เป็นต้น


"โซเชียลมีเดียกำลังส่งผลต่อชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น เราจะอาศัยสื่อแบบเดิมๆ หรือ ใช้หลักการตลาด 4P แบบเก่าได้หรือเปล่า มีอะไรที่เราควรต้องระวังเกี่ยวกับการบริหารการเงิน ซึ่งคนในระดับคีย์แมนไม่ควรจะเป็นผู้รู้เฉพาะด้านเท่านั้น"


คนของกลุ่มสามารถในวินาทีนี้ปรับตัวได้เร็วเพียงใด?


"เร็วนะ เพราะตัวผมเองเป็นคนที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้เร็ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวผู้บริหารข้างบนอย่างผม และถ้าใครไม่ยอมปรับตัวก็คงต้องออกไป ก็มีอยู่แค่นี้ เพราะโลกใบนี้คือการแข่งขัน ในยุคนี้ ไม่มีการผูกขาดทำให้ทุกคนต้องพยายามแข่งขันอยู่ตลอดเวลา"


ฟังอาจดูเหมือนผู้บริหารท่านนี้ "โหดร้าย" แต่ในความเป็นจริงวัฒน์ชัยใช้หลักการบริหารแบบครอบครัวที่มีความใกล้ชิด มีอะไรก็เกื้อกูลกัน เอื้อเฟื้อกัน มีอะไร


"เรารวยเขาก็รวยด้วย คิดอย่างนี้ก็หมดเรื่อง มีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เราพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ในความเป็นครอบครัวเราก็มีระบบงานที่ตรวจสอบได้เพราะเราเป็นมหาชน"


นอกจากการขับเคลื่อนองค์กรโดยอาศัยการเป็นต้นแบบที่ดีของตัวผู้นำแล้ว กลุ่มสามารถยังมี "วัฒนธรรมองค์กร" เพื่อใช้ในการปลูกฝังดีเอ็นเอของพนักงาน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ ได้แก่ 1. Customer Focus 2.Innovative 3.Fast 4.Synergy และ5. Well-done


"วัฒนธรรมองค์กรของเราเกิดขึ้นมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว เพื่อสร้างคนของสามารถให้เป็นคนที่เอาใส่ใจลูกค้า เป็นคนคิดอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ มีความว่องไว และพนักงานในทุกๆ สาขาธุรกิจต้องทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี แต่ข้อสุดท้ายที่เรามุ่งเน้นและเป็นตัวเชื่อมโยงทุกข้อก็คือ คนของเราต้องทำงานด้วยใจ ทำอย่างเต็มที่ ทำแล้วต้องทำให้ได้ดี ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ"


วัฒน์ชัยบอกว่าบนเส้นทางการบริหารธุรกิจนั้นย่อมผจญกับความท้าทายมากมายหลายเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกสำหรับธุรกิจไทยส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้น "การเมือง" และ "ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา"


ขณะที่เขาบอกว่าอะไรๆ ก็คงไม่ยากเท่าการบริหาร "คน" ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ทว่าปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจก็อยู่ที่ "คน" เช่นกัน


แต่ในฐานะของผู้นำองค์กรก็คงต้องหากลยุทธ์กระบวนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง โดยต้องอาศัยการแอคชั่นในหลากหลายท่วงท่า เนื่องจากในโลกใบนี้นั้นคงไม่มียาสามัญหรือสูตรสำเร็จใดใช้ได้กับทุกอาการไข้


อะไรคือ บทบาทหน้าที่แม่ทัพใหญ่ของกลุ่มสามารถ?


"หน้าที่ของผมในเวลานี้ต้องมองทั้งปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงต้องวางแผนจะนำองค์กรให้เติบโตไปในทิศทางใด ผมต้องพยายามขนขวายหาโอกาสธุรกิจใหม่อยู่เรื่อยๆ เพื่อจะทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแรง" ประการสำคัญก็คือ ต้องไม่เสี่ยง


ผู้นำควรนำบทเรียนมาเป็นเครื่องเตือนใจและต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสอง


ปัจจุบันกลุ่มสามารถมีการแบ่งสายธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1.ธุรกิจสื่อสารไอทีและโทรคมนาคมครบวงจร 2.สายธุรกิจการสื่อสารข้อมูลและอุปกรณ์สื่อสารไอที 3.สายธุรกิจเทคโนโลยี อื่นๆ และ 4.สายธุรกิจบริการสาธารณูปโภค


วัฒน์ชัยบอกว่า โครงสร้างเช่นนี้ทำให้เกิดความสมดุลและสามารถประคับประคองกันได้ในยามที่ธุรกิจเกิดภาวะขาขึ้นขาลง ในเวลาเดียวกันทุกธุรกิจก็ต้องยืนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต


นโยบายของกลุ่มสามารถในวันนี้ก็คือ การมองหาธุรกิจที่มีการเติบโตดีมีกำไร และจบกันทีกับธุรกิจซื้อมาขายไปที่อาจสร้างยอดขายแต่เหลือเป็นผลกำไรเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี มีบางธุรกิจที่แม้ในวันนี้จะทำได้เพียงแค่ "เสมอตัว" แต่เมื่อแน่ใจว่ามีอนาคตที่สดใส วัฒน์ชัยก็ให้ "สอบผ่าน" ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของการมองเห็นอนาคต


ผู้นำควรต้องมีสัญชาตญาน


เช่น หากเพียงแค่มองตัวเลขของผลกำไรขาดทุนเท่านั้น ในวันนี้มือถือ "ไอโมบาย" รวมทั้ง "BUG 1113" ก็คงต้องปิดตัวและเลย์ออฟพนักงานไปหลายร้อยคนแล้ว แต่เพราะเขามองว่าทั้งสองธุรกิจนี้มีอนาคต แต่ต้องแก้ไขและเลือกเส้นทางเดินใหม่ที่ถูกต้อง


ถามว่าฟ้าที่สดใสในวันนี้ชี้ถึงผลความสำเร็จได้หรือไม่


" นักข่าวมักถามผมเสมอในเรื่องความสำเร็จ แต่ผมมักจะตอบไปว่า ผมยังไม่สำเร็จ"


เขาบอกว่า การที่คิดว่าตัวเองใหญ่แล้ว รวยแล้ว ดีแล้ว ที่สุดก็จะหยุดอยู่กับที่โดยไม่คิดทำอะไรอีก เสพย์ติดและจมปลักกับความสำเร็จอยู่เพียงแค่นั้น


จึงเป็นข้อสรุปที่ว่า วัฒน์ชัย เป็นผู้นำที่ไม่มีคำว่าสำเร็จ และไม่มีคำว่าเส้นชัย