วรวิทย์ ศิริพากย์ ขบถนักคิด "คิดต่าง ชีวิตก็เปลี่ยน"

อดีตเด็กเนิร์ด ขีดเส้นทางเดินชีวิตไว้ที่ "คุณหมอ" ต้องพบกับจุดพลิกผันอยู่ๆ ก็กลายมาเป็นนักธุรกิจร้อยล้านที่อายุยังไม่ถึง 40 ปี
หนุ่มหน้าตาดีอดีตเด็กเนิร์ดศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียล และเตรียมอุดมศึกษา ยอมรับว่าตัวเองมีความขบถอยู่ในตัว ไม่ชอบเดินตามกรอบ “วรวิทย์ ศิริพากย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด เจ้าของแบรนด์ปัญญ์ปุริ ผลิตภัณฑ์สปาและผลิตภัณฑ์อโรม่าเธอราปีชื่อดัง หนุ่มโสดมาดเนี๊ยบวัย 37 เริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองจากความหลงใหลใน "กลิ่น" ชื่นชอบความเป็นไทยแท้ หลังจากใช้ชีวิตโลดโผนอยู่ในต่างประเทศนานนับสิบปี
“ปุ๋ย” ชื่อเล่นที่เพื่อนฝูงและครอบครัวของ วรวิทย์ เรียกขาน อดีตเด็กเรียนใส่แว่นหนาเตอะ เรียนได้เกรด 4 ทุกวิชา สมัยเรียนเขาเคยใฝ่ฝันอยากเป็น "คุณหมอ" ตามสเต็ปเด็กเรียนเก่งไอคิวสูง แต่นานเข้าความคิดก็เริ่มเปลี่ยน ยิ่งได้ไปทัศนศึกษาดู "อาจารย์ใหญ่" ที่ศิริราชพยาบาล ทำให้เขารู้ตัวเองทันทีว่า "ไม่ชอบ"อาชีพนี้ซะแล้ว
“ผมไปดูงานหมอ ที่โรงพยาบาลศิริราช ไปดูว่าหมอผ่าตัด เขาทำกันยังไง ตอนนั้นรู้เลยครับว่าไม่ใช่แนวทางที่ผมอยากเป็น และผมไม่ชอบเดินตามกรอบ ขอออกแบบชีวิตเองบ้าง”
ความคิดนอกคอก ทำให้เกิดคำถามที่ว่า ทำไมเรียนจบเตรียมอุดมแล้วต้องเรียนต่อจุฬาฯ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เหมือนคนอื่น สุดท้ายวรวิทย์ จึงตัดสินใจเบนเข็มขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศแทนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในไทย "เมืองมอลทรีออล" ประเทศแคนาดา คือจุดหมายที่เขาเลือกเรียนต่อในระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ
ขณะที่จัดเริ่มต้นของการเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์สปาชื่อดังเกิดขึ้นในวันเด็ก ที่ต้องเรียนโรงเรียนประจำตลอด ทำให้ไม่มีเวลาส่วนตัว ไม่มีห้องส่วนตัว จะมีเวลาส่วนตัวจริงๆ ก็ตอนอาบน้ำซึ่งถือเป็นช่วงเวลาพิเศษสุดสำหรับหนุ่มน้อยอย่างเขา ที่จะละเมียดละไมกับเวลาส่วนตัวอันสุนทรีย์ "ครีมอาบน้ำ" หลากกลิ่นกลายเป็นความโปรดปราน ที่มองว่าจะช่วยเติมเต็มความสุขในช่วงเวลานั้นได้
“กลิ่น” จากครีมอาบน้ำ จึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขาคิดอยากทำธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เสริมความงาม
“ตอนนั้นอยู่โรงเรียนประจำ ที่เซนต์คาเบรียล มีชาวเวอร์เจลอยู่ 5-6 ขวด เพื่อนๆ จะรู้กันว่าผมมีชาวเวอร์เจลมากที่สุด สามารถเลือกใช้ตามอารมณ์ในแต่ละวัน มันเลยกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก จนไปเรียนเมืองนอกก็มีชาวเวอร์เจลหลายๆ กลิ่นเช่นเคย”
แต่เมื่อเรียนจบก็ใช่ว่าจะยึดอาชีพนี้ทันที
วรวิทย์เล่าว่า หลังเรียนจบจากแคนาดา อาชีพแรกที่ทำคือการเป็นที่ปรึกษาให้กับนักธุรกิจที่นิวยอร์ก ที่สำคัญเขายังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเหตุการณ์ 911 ...เหตุการณ์นี้ทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด และนั่นทำให้เขามีมุมมองในการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป
“ก่อนหน้านั้นทำงานหนักมาก บ้าทำงานเพื่อความก้าวหน้าทางอาชีพ เก็บเงินให้ได้เยอะๆ พอผมมาอยู่ในเหตุการณ์นี้ 911 ผมเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ คิดว่า ความสุขคือสิ่งที่ต้องเริ่มทำเลย ไม่ต้องรอ ก็เลยมองว่าอะไรคือความสุขของเรา อะไรคือสิ่งที่เราอยากทำ ก็จงทำสิ่งนั้น"
จุดหมายต่อจากแคนาดา นิวยอร์ก นั่นก็คือ "อิตาลี" วรวิทย์ ตัดสินใจเรียนต่อด้านบริหารแบรนด์สินค้าฟุ่มเฟือยที่นั่น นอกจากจะต้องการเดินตามความชอบแล้ว ยังอยากรู้ที่ว่าเมื่อสินค้าเหล่านี้มีราคาแพง แต่ทำไมคนก็ยังใช้อยู่ แถมตลาดยังมีอัตราเติบโตสูง
เมื่อเรียนจบ จนกระทั่งกลับมาบ้านเกิด จึงไม่มีความคิดอยากทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ในหัว
วรวิทย์ เล่าว่า มีอยู่วันหนึ่ง เขาเดินเล่นสำรวจสินค้าอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชื่อดังในไทย เพื่อเสาะหา “ครีมอาบน้ำ” ทว่าเขาไม่พบกับกลิ่นหรือคุณภาพที่ตัวเองชอบ ทำให้คิดว่า งั้นทำเองเลยดีไหม ไหนๆ ก็ชอบเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับเคยเห็นสินค้าไทยชิ้นหนึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ Propaganda ที่อเมริกา ตอนนั้นเขาพูดกับเพื่อนว่า "สักวันฉันจะทำให้ได้อย่างนี้บ้าง"
จากแวบแรกความคิด ทำให้เขาตัดสินใจจะผลิตเครื่องประทินผิวเพื่อส่งออกทันที เพราะเห็นว่า คนไทยยังไม่เปิดรับสินค้าที่ผลิตโดยคนไทยมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลผิวต่างๆ โชคดีที่มีเพื่อนเป็นนักเคมี มีความรู้เรื่องประเภทนี้เยอะ ส่วนตัวเขาก็รู้เรื่องการบริหารการตลาด เมื่อจับสองสิ่งนี้มาเจอกัน จึงกลายเป็นความลงตัว
ขบถนักคิดอย่างเขายังเลือกที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กลายเป็นสินค้าที่สามารถวางประดับตกแต่งบ้านได้ บนฉลากสินค้าที่เน้นภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศส ฉีกแนวทางไปจากผู้ผลิตรายอื่นๆ
"ภาษาฝรั่งเศส มันเหมือนมีมนต์ขลัง สร้างความน่าเชื่อถือได้ง่ายโดยเฉพาะกับพวกเครื่องสำอางด้วยแล้ว ผมคิดแต่แรกแล้วว่าจะต้องเอาภาษาฝรั่งเศสมาใส่บนผลิตภัณฑ์ สเต็ปต่อมาผมค่อยคิดว่าจะทำครีมอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์พวกสปาเพราะชอบและยังไม่มีคน เพียงแต่เราต้องทำออกมาให้พรีเมี่ยมจริงๆ"
เขาคิดถูก เมื่อสินค้าของเขาก้าวขึ้นสู่แนวหน้าผลิตภัณฑ์สปาชั้นนำระดับ Luxury Product ที่คนดังทั่วโลกและคนในแวดวงฮอลีวูดหลายๆรายใช้ผลิตภัณฑ์ของเขา เช่น ผู้ดำเนินรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง โอปราห์ วินฟรีย์ หรือ ภรรยาของ ซีเนอดีน ซีดาน อดีตนักฟุตบอลชื่อก้องโลก ก็ยังกลายเป็นสาวกของปัญญ์ปุริ
วรวิทย์ เล่าติดตลกว่า คิดจะทำแบรนด์สินค้าครั้งแรกก็อ่านหนังสือธรรมะก่อนเลย ไม่จับพวกหนังสือการตลาด ก่อนจะขยายความว่า คิดจะทำสินค้าขายฝรั่ง ต้องมีเรื่องราวที่สามารถเล่าได้ ความเป็นไทยยังไงก็ขายได้
"ผมว่าเราต้องมองหารากเหง้าของตัวเองก่อน ผมอ่านหนังสือบาลี สันสกฤต เลยไปเจอคำแปลกๆ อย่าง ปุญญะ ปัญญะ ซึ่งก็แปลว่า ปัญญา เลยหยิบเอาคำนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อแบรนด์"
สิ่งสำคัญในการสร้างแบรนด์สินค้าให้ขายได้ จะต้องรู้จุดขายของสินค้า ต้องมีความเป็น Cultural Product (ส่วนผสมของวัฒนธรรม) และมีความเป็น Exotic Product หรือความไม่ธรรมดา สำหรับวรวิทย์แล้ว เขามองว่า บรรจุภัณฑ์ (Package) คือหน้าตาที่สำคัญที่สุดของสินค้า ต้องคิดต่อเนื่องว่าจะทำให้สินค้าสามารถตั้งโชว์ได้ด้วย สินค้าภายใต้แบรนด์ปัญญ์ปุริ จึงมีรูปทรงเก๋ไก๋ แปลกตาไปจากรายอื่นๆ ที่น่าดีใจกว่านั้นสามารถเจาะตลาดสปาระดับไฮเอนด์ได้จริง
วริวิทย์ เล่าว่า ปัญญ์ปุริตั้งเป้าขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศในปีนี้ให้ได้ทั้งหมด 27 สาขา โดยขณะนี้มีในไทย 4 สาขา คือ ภูเก็ต สมุย พัทยา และเกสรพลาซ่า และในต่างประเทศ 20 สาขา ในปีนี้มีแผนขยายสาขาที่เชียงใหม่ หาดใหญ่ และอีกแห่งในกรุงเทพฯ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน แต่ละสาขาที่ 5-10 ล้านบาท
“คู่แข่งเหรอ ผมไม่กลัวหรอก ผมชอบอยากให้มีคู่แข่งเยอะๆ เพราะไม่อยากเป็น Monopoly" เขาหัวเราะ ปิดบทสนทนา







