ERW : ขยายกิจการต่อยอดโรงแรมราคาประหยัด

ERW : ขยายกิจการต่อยอดโรงแรมราคาประหยัด

ล่าสุด บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW ได้เปิดตัวการก่อสร้างโรงแรมประหยัดใหม่ภายใต้แบรนด์ "Hop Inn"

ซึ่งเรามีมุมมองบวกเกี่ยวกับกลยุทธ์ขยายกิจการดังกล่าวในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโรงแรมระดับประหยัดของบริษัท โดย ERW ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มจากฐานะการเป็นผู้นำในกลุ่ม Budget Hotel แนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายเท่ากับ 6.75 บาท อิงจาก 20% Discount จากมูลค่า RNAV

แผนการขยายกิจการในกลุ่มโรงแรมราคาประหยัด : ERW ได้เปิดตัวโรงแรมประหยัดใหม่ภายใต้แบรนด์ "Hop Inn" ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกที่สานต่อกลยุทธ์การขยายกิจการระยะยาวทั้งในและต่างประเทศ จากโอกาสการเติบโตในกลุ่มโรงแรมระดับประหยัดที่มีสูงเราเชื่อว่า ERW ได้ตัดสินใจถูกต้องที่ได้เปิดตัวแบรนด์ดังกล่าวเพิ่มเติมจากพอร์ตโรงแรมระดับล่าง-กลาง-พรีเมียมเดิมที่มี โดย ERW มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากการบริหารในเครือโรงแรมที่มีรวมทั้งพันธมิตรโรงแรมต่างชาติเสริมความแข็งแกร่งอีกด้วย

แผนการดำเนินการของโรงแรม HOP INN : ด้วยราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ARR) ที่ราว 600 บาททำให้แบรนด์ Hop Inn เน้นกลุ่มลูกค้านักธุรกิจในประเทศหรือนักท่องเที่ยวในประเทศที่มองหาห้องพักราคาถูกเป็นหลัก โดยโรงแรมจะจัดตั้งอยู่ในเมืองสำคัญหลักแถบต่างจังหวัด ทั้งนี้ ERW วางแผนที่จะเปิดตัว Hop Inn ทั้งหมด 10 แห่งพร้อมสำหรับการดำเนินการภายในไตรมาส 4/57 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้วทั้งหมด 5 แห่ง และยังมีแผนขยายกิจการดังกล่าวในกลุ่มประเทศอาเซียนภายในปี 2558

ความยืดหยุ่นด้านการเงิน : แม้ว่าแผนการขยายโรงแรมเชิงรุกทั้งหมดรวม 30 แห่งภายในปี 2558 จะค่อนข้าง Aggressive แต่เรามองว่าโรงแรมจะไม่ได้รับผลกระทบจากการกู้ยืมต่องบดุลมาก นักเนื่องจากต้นทุนในการลงทุนต่ำเพียง 57 ล้านบาทต่อหนึ่งโรงแรมเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้รับอานิสงส์จากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากกลุ่มโรงแรมภายใต้ การบริหารเดิม และเงินสดจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกอง REIT ในปี 2557-58 อีกด้วย เรามีความเห็นว่า ERW จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องต่อยอดขยายกิจการโรงแรม Hop Inn ในเชิงรุกเพื่อที่จะได้รับประโยชน์ทางด้านต้นทุน (Economies of Scale) และทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มตลาด MASS อีกด้วยจากมูลค่า RNAV)

สถานะของโรงแรม HOP INN : ERW วางแบรนด์ Hop Inn ไว้ต่ำกว่า IBIS ซึ่งทั้งคู่เป็นโรงแรมราคาประหยัด โดยราคาห้องพักเฉลี่ยของ Hop Inn จะถูกกว่า IBIS ราวครึ่งหนึ่ง ซึ่งเรามองว่าจะได้รับผลกระทบจากการแย่งยอดขายค่อนข้างน้อย ส่วนคู่แข่งหลักของ Hop Inn ในประเทศได้แก่โรงแรม Tune Hotels และคู่แข่งในระดับภูมิภาคได้แก่กลุ่มโรงแรม AMARIS, POP! และ Tune Hotels ซึ่งข้อดีของการจัดตั้งโรงแรม Hop Inn คือความสามารถในการลดผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงตามปัจจัยทางฤดูกาลได้ เนื่องจากโรงแรมเน้นกลุ่มลูกค้านักธุรกิจและนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลักไม่ใช่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ

สถานะทางการเงิน : ต้นทุนของโรงแรมราคาประหยัดต่ำกว่า 0.73 ล้านต่อ 1 ห้องพัก และด้วยปริมาณห้องพักรวมจำนวน 79 ห้องทำให้คาดว่าต้นทุนสำหรับการก่อสร้างรวมต่อ 1 โรงแรมจะอยู่ที่ราว 57 ล้านบาท ทั้งนี้ด้วยแผนการขยายโรงแรม HOP INN ในประเทศทั้งหมด 30 แห่งในปี 2558 คาดว่า ERW จะลงทุนราว 1.7 พันล้านบาทในรอบ 3 ปีข้างหน้าอีกทั้งยังวางงบลงทุนเพิ่มเติม 1.5 พันล้าน บาทในการขยายโรงแรมเข้าสู่ประเทศอาเซียนอีกด้วย ทั้งนี้ด้วยสมมุติฐานสัดส่วน Ebitda Margin ที่ราว 55% ประเมินว่าโรงแรมจะทำรายได้ (EBITDA) ต่อปีอยู่ที่ 7 ล้านบาท

อัพเดทโครงการอื่น : นอกจากแผนการขยายกิจการในโรงแรมราคาประหยัดแล้ว ERW ยังต่อเนื่องความสำเร็จในกลุ่มโรงแรมขนาดกลาง-ประหยัดเพิ่มเติมขึ้นอีกในรอบ 3 ปีข้างหน้า และได้เปลี่ยนจากการบริหารโรงแรม “Mercure” และ "IBIS" ด้วยตนเองเป็นรูปแบบของแฟรนไชส์ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทำให้ลดการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับกลุ่ม Accor Group (AC, Notrated) แต่อาจสูญเสียสิทธิพิเศษบางอย่างไป

ยังคงแนะนำ "ซื้อ" : จากการที่ ERW เพิ่งเริ่มเปิดตัวโรงแรมระดับประหยัด เรามองว่าจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่องบการเงินสำหรับปี 2556/57 ทำให้เรายังคงประมาณการไว้ โดย ERW ยังคงเป็นหุ้น Top Pick และการเพิ่มโรงแรมประหยัดจะเสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มโรงแรมระดับล่างที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมายเท่ากับ 6.75 บาท (20% Discount)