ธุรกิจ & ซีเอสอาร์บนทางเดินเดียว 'บรีส'

ความแตกต่างของงานเพื่อสังคม (หรือที่องค์กรอื่นๆ เรียกว่าซีเอสอาร์) ของ 'บรีส' ก็คือ เป็นการทำอย่างกลมกลืนจนเป็นเนื้อเดียวกันกับแบรนด์
จวบถึงวันนี้ เป็นเวลาที่ยาวนานร่วม 13 ปีแล้ว ที่แบรนด์ผงซักฟอกของกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์นามว่า 'บรีส' ขับเคลื่อนงานเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด "กล้าเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์"
"ถ้าแยกงานเพื่อสังคมกับธุรกิจหรือความเป็นแบรนด์เมื่อไหร่ มันคงเป็นเหมือนไฟไหม้ฟาง จะไม่เกิดความยั่งยืน ดังนั้นเราจะไม่เรียกงานเพื่อสังคมว่าซีเอสอาร์" สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน อาหาร และไอศกรีม ยูนิลีเวอร์ประเทศไทย กล่าว
ในเมื่อบรีส คือภาพของผงซักฟอกที่ขจัดทุกคราบเลอะได้อย่างหมดจด งานเพื่อสังคมก็ต้องล้อไปกับเรื่องของความเลอะ ในข้อแม้ที่ว่า จะต้องเป็นความคิดที่ลึกซึ้ง อีกทั้งต้องไม่มุ่งหวังตัวเลขหรือกำไรที่ปลายทาง
ทางตรงข้าม ขอให้วัดผลได้ในเรื่องของความรู้สึก "เป็นความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกผูกพันของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อแบรนด์"
สุพัตราเองในเวลานี้ก็กำลังคิดวางแผนต่อยอดเพื่อให้งานเพื่อสังคมของบรีสกับการก้าวย่างสู่ปีที่ 14 สร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น
ประการสำคัญ สุพัตราเคยทำหน้าที่ดังกล่าวมาก่อน จึงถือเป็นการกลับมาทำหน้าที่เดิมอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเธอดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ผลิตภัณฑ์ดูแลทำความสะอาดผ้า ดูแลแบรนด์สินค้าบรีส,โอโมและ คอร์มฟอร์ท
แต่เพราะความเป็นคนเก่ง ทางยูนิลีเวอร์เลยให้เธอได้รับการหมุนเวียนงาน (Job Rotation)รับภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ที่ผ่านมาเธอต้องอพยพครอบครัวเพื่อไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย และที่เมืองเซียงไฮ้ประเทศจีน
ดังนั้น เมื่อโอกาสได้หยิบยื่นให้เธอกลับมาประเทศไทย ทั้งได้กลับมาตรงที่เดิม จึงไม่พลาดที่สุพัตราจะดีใจแบบสุดๆ และยังเป็นจังหวะเดียวกันกับการต่อจิ๊กซอว์ตัวใหม่ของงานเพื่อสังคมของบรีส
ซึ่งหากเปรียบเป็นบทเรียนหรือแม้แต่นิยายก็ตามที ระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมางานเพื่อสังคมของบรีสนั้นดำเนินงานไปแล้วถึง 4 บทหรือ 4 ตอน ด้วยกัน
โดยเริ่มจาก ยูนิลีเวอร์ นั้นมีความเชื่อที่ว่า "การทำสิ่งเล็กๆ จะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้" และเล็งเห็นว่า "เด็กก็คืออนาคตของชาติ"
ในการตีโจทย์ที่ "กล้าเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์" ที่ต้องทำให้งานเพื่อสังคมเชื่อมโยงกับแบรนด์ จึงกลายเป็นสูตร การเรียนรู้ในห้องเรียน+การเรียนรู้นอกห้องเรียน =สร้างให้เด็กเติบโตอย่างมีศักยภาพ
หลังจากนั้นก็นำสูตรไปปฏิบัติจริง โดยมีการกำหนดคอนเซ็ปต์หรือธีมเพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
ปฐมบท (ปี 2543-2545) เริ่มต้นด้วยการจัดประกวดสิ่งประดิษฐ์ ด้วยธีม "ศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์" เป็นการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และความเป็นทีมของเด็กๆ ในการเก็บของสิ่งของเก่าๆ นำมารีไซเคิลเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สวยงาม ทรงคุณค่า
บทที่สอง (ปี 2546-2548) เป็นเรื่องปฏิบัติการนอกห้องเรียน ด้วยธีม "เรียนจริง รู้จริง ทำจริง" กิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ได้แก่ โคบาลน้อย ,เถ้าแก่น้อย, ปั้นดินให้เป็นดอลล์ ,ตะลุยป่า ,รักษาโลก แกะรอยไดโนเสาร์ และ คืนน้าใจให้ทะเล เป็นต้น ซึ่งมุ่งเน้นให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้ลงมือทำจริงๆ
บทที่สาม (ปี 2549-2552) เป็นการมอบลานเล่นบรีสเพิ่มพลังการเรียนรู้ตำนวน 200 ลานให้กับโรงเรียนที่ห่างไกลและขาดโอกาส ในธีม"ได้เล่น ได้เลอะ ได้เรียนรู้" ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางร่างกายสติปัญญาและอารมณ์ไปพร้อมกัน (Play Q)
บทที่สี่ (ปี2553-2556) เป็นปฏิบัติการบรีส ป.ปลายเปลี่ยนโลก ด้วยธีม "เปลี่ยนแปลงสังคม เด็กประถมก็ทำได้" ซึ่งเป็นการเพิ่มพลังจิตอาสา และเสริมสร้างประการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียนให้เด็กและเยาวชนได้พัฒนาทักษะชีวิต และกล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และกิจกรรมในบทนี้ก็คือ ห้องสมุด เรียนรู้ ตู้คอนเทนเนอร์ และ ปันของแสนรัก ส่งสุขแสนยิ้ม ให้เด็กร่วมบริจาคตุ๊กตา 100,000 ตัวให้กับเด็กด้อยโอกาสตามโรงเรียน ตชด. ต่างจังหวัดทั่วประเทศ เป็นต้น
ทั้งสี่บทที่ผ่านมา เกิดจากการวางแผนระยะยาวหรือไม่ อย่างไร?
"บอกตรงๆ เราคิดไปทำไป เมื่อจบโครงการแรกแล้วเราจะทำการรีวิวเพื่อปรับวิธีการใหม่ เพราะเราจะคิดแบบเดิม ทำแบบเดิมไม่ไม่ได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ละแคมเปญจึงใช้ระยะเวลา 2-3 ปี และสิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ ความสนุก ความใหม่ เพราะตวามตื่นเต้นของเด็กจะลดน้อยลงถ้าเรายังคงทำเหมือนเดิม"
สิ่งเดียวที่ต้องตระหนักก็คือ ทุกกิจกรรมต้องอยู่ภายใต้แนวคิด "กล้าเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์"
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการคำนึงถึง การสร้างความมีส่วนร่วม และจิตสำนึกในเรื่องสังคมของพนักงานอีกด้วย
13 ปี ที่ผ่านมาบรีสใช้งบประมาณไปกับงานเพื่อสังคมแล้วกว่า 300 ล้านบาท และเข้าถึงโรงเรียนแล้วกว่า 100,000 แห่ง (จำนวนนี้หมายถึงการเข้าร่วมกิจกรรมซ้ำๆ ของแต่ละโรงเรียน) รวมถึงสามารถสัมผัสและเข้าถึงคนไทยกว่า1,000,000 คน ทั่วประเทศ
"บรีสกำลังจะเริ่มงานเพื่อสังคมบทใหม่ ในเดือนสิงหาคมนี้ แต่จะเป็นการเลอะแบบไหน สร้างประสบการณ์แบบไหน ขออุบไว้ก่อน แต่เราคิดว่าบทบาทของคนเป็นแม่น่าจะมีมากขึ้น ขณะที่เด็กต้องสนุกและได้เรียนรู้เหมือนเดิม"
อะไรคือความท้าทาย?
เธอบอกว่า คงเป็นเรื่องของยอดขาย เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่องบประมาณในการทำโครงการต่างๆ รวมถึงงานเพื่อสังคม
"แม้ต้นทุนจะสูงขึ้น กำไรจะไม่ถึงเป้า แต่ผู้ใหญ่เราก็ไม่เคยคิดจะตัดงบตรงส่วนนี้เลย เพราะมีความเชื่อมั่นว่าเราทำดีแล้วเป็นการทำเพื่อระยะยาว"
อย่างไรก็ดี การทำงานกับเด็กๆ ที่เป็นวัยกำลังซุกซน ก็อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับ "ความปลอดภัย" มากขึ้นเป็นพิเศษ
"ถัามองกลับกัน เรื่องของฝนตก แดดออก อะไรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทำให้กิจกรรมมีรสชาติมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเราก็กลัวเด็กจะลื่นล้ม ไม่สบาย แต่ทางเราเองที่เชื่อในแนวคิดที่ว่ากล้าเลอะ ยิ่งเลอะประสบการณ์"
ดังนั้น เด็กก็ต้องลื่นบ้าง ต้องเลอะบ้าง อะไรบ้าง ที่สุดก็ต้องกล้าเลอะ







