'ชาร์ป'ลงทุนพันล้านเพิ่มผลิตตู้เย็น

"ชาร์ป" ทุ่มงบลงทุนพันล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตตู้เย็นเป็น 20 ล้านเครื่องใน 5 ปี รองรับตลาดส่งออกโตต่อเนื่อง รับเออีซี
นายทาคาชิ ซูซูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ป แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เตรียมงบลงทุนในช่วง 5 ปีจากนี้ จำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าในกลุ่มตู้เย็นจากทั้ง 2 โรงงาน ในย่านบางพลี ฉะเชิงเทรา โดยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร ซึ่งมีกำลังการผลิตตู้เย็นในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 ล้านเครื่องต่อปี จะเพิ่มเป็น 1.8 ล้านเครื่องภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้บรรลุยอดการผลิตตู้เย็นให้ได้ 20 ล้านเครื่องในอีก 5 ปีตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากที่ฉลองครบรอบการผลิตตู้เย็น 10 ล้านเครื่องในปีนี้
แผนการขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้ เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดที่สูงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดอาเซียนหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกไปยังต่างประเทศ 90% และอีก 10% เพื่อขายภายในประเทศ โดยมากกว่า 70% ส่งออกไปยังตลาดอาเซียน ที่เหลือเป็นโซนโอเชียเนีย หรือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มประเทศในยุโรป ตะวันออกกลาง จีน และญี่ปุ่น
“ปัจจุบัน ชาร์ปมีโรงงานอยู่ 4 แห่ง คือ ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ, เซียงไฮ้ ประเทศจีน ผลิตเพื่อส่งออกจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปญี่ปุ่น, จาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ ซึ่งเริ่มผลิตได้ในช่วงเดือน ต.ค. นี้ และที่ประเทศไทยซึ่งถือเป็นโรงงานใหญ่ที่สุดของชาร์ปทั่วโลก” ผู้บริหารชาร์ป ย้ำ
ทั้งนี้ ล่าสุดชาร์ปได้พัฒนาตู้เย็นรุ่น “บ็อททอม ฟรีสเซอร์” (Bottom Freezer) ฉลองยอดผลิตตู้เย็น 10 ล้านเครื่อง สามารถเปิดประตูได้ทั้งซ้ายและขวาเอกลักษณ์เฉพาะชาร์ป ซึ่งจะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางเดือนนี้ และส่งออกไปยังอาเซียนเป็นภูมิภาคแรก ส่วนของผลประกอบการปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 2.2 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ว่าจะเติบโตจากปีก่อนประมาณ 6% โดยชาร์ปมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนในส่วนของไลน์สินค้าใหม่ๆ ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ที่มองว่าจะมีโอกาสในตลาด อาทิ ในกลุ่มหม้อหุงข้าวเพื่อสุขภาพ ที่มีวางตลาดแล้วในประเทศญี่ปุ่น
ส่วนมาตรการหรือแนวทางลดการใช้พลังงานในช่วงเดือน เม.ย. นี้ นายซูซูกิ เผยว่า ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือในส่วนของโรงงานและซัพพลายเออร์ โดยได้จัดทำแผนการผลิตในช่วงของเวลาการปล่อยกระแสไฟน้อยลงจากโรงไฟฟ้า ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบ และให้ซัพพลายเออร์เตรียมผลิตชิ้นส่วนล่วงหน้าให้กับชาร์ป
ขณะการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท ถือว่าได้รับผลกระทบในส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้น และพยายามหาแนวทางในการลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าให้มากขึ้น ลดเวลาในกระบวนการผลิต รวมถึงการจัดหาชิ้นส่วนจากแหล่งใหม่ๆ และจัดซื้อชิ้นส่วนในจำนวนที่มากขึ้นต่อการสั่งซื้อ 1ครั้ง ซึ่งตรงนี้สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ส่วนหนึ่ง




