'บุญทรง'แจงเอฟทีเอ-อียู ลุย'FairTrade'

รมว.พาณิชย์ยันเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู มั่นใจจบได้ใน2ปีตามกำหนด พร้อมลุยปั้นผู้ประกอบการไทยเข้าโครงการ"FairTrade"
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในการหารือระหว่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับนายKaral De Gucht กรรมาธิการด้านการค้าสหภาพยุโรปสองฝ่ายได้ข้อสรุปให้เริ่มต้นการเจรจาการค้าเสรี(FTA) กกหนดเจรจา7ครั้งภายใน2ปี จากนี้และให้ได้ข้อสรุปในปี2557 โดยฝ่ายไทยมีนายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและประธานผู้แทนการค้าไทย เป็นหัวหน้าคณะเจรจา และให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นเลขานุการคณะเจรจา โดยให้ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องทุกแห่งร่วมในคณะเจรจา ด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนการเจรจาจริงแต่ละรอบจะให้มีการประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนก่อนเพื่อหารือเบื้องต้นเพื่อให้การเจรจาแต่ละรอบมีความคืบหน้าทั้งนี้ หัวข้อการเจรจาจะครอบคลุมทั้งเรื่องการเปิดเสรีบริการและการค้าสินค้าควบคู่กันไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะได้รวบรวมสินค้าและบริการที่ไทยมีความพร้อมเปิดเสรีรวมถึงกลุ่มที่ไม่มีความพร้อมให้ชัดเจน เพื่อให้การเจรจาเป็นประโยชน์สูงสุด
นายบุญทรง กล่าวว่า ประเด็นการเจรจาที่มีความอ่อนไหวได้แก่เรื่องการขยายสิทธิบัตรยา ได้มีการกำหนดแนวทางการเจรจาไว้แล้วซึ่งจะไม่ให้กระทบต่อการเข้าถึงยาของคนไทยหลังการเปิดเสรี ส่วนเรื่องบริการ มีความเป็นห่วงเรื่องธุรกิจด้านการเงินซึ่งจะมีการหารือกีบกระทรวงการคลังต่อไปก่อนเสนอคณะเจรจากำหนดท่าทีในประเด็นดังกล่าว
สำหรับสหภาพยุโรปได้ข้อสรุปเอฟทีเอกับประเทศมาเลเซียและสองคโปร์แล้ว กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับเวียดนาม และกำลังจะเริ่มเปิดการเจรจากับสหรัฐ โดยคณะเจรจาฝั่งอียูเป็นคณะเดียวกับที่ได้เจรจากับมาเลเซียที่ได้ข้อสรุปไปก่อนหน้านี้แล้ว หากไทยได้ข้อสรุปจะทำให้ปัญหาการเจรจาขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP)หมดไปเพราะไทยจะหมดสิทธิในอีก2ปีข้างหน้าโดยผู้ส่งออกไทยสามารถใช้สิทธิผ่านเอฟทีเอได้แทนทันทีไม่ต้องเสียโอกาสการแข่งขัน
นายบุญทรง กล่าวถึงการหารือกับกลุ่มโครงการ "Fair Trade"ว่า ได้รับการมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เพิ่มช่องทางการค้าผ่านระบบFair Tradeให้มากขึ้น เพราะเ็นรูปแบบการค้าที่ได้รับการตอบรับจากตลาดโดยเฉพาะในยุโรปและมีราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ5-10% นอกจากนี้ ยังมีเป็นการค้าที่กำหนดให้ผู้ซื้อและผู้ขายต้องให้ราคาที่เป็นธรรมเกษตรกรรายย่อยจะได้รับประโยชน์โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าบางรายการของไทยได้รับตราFair Tradeแล้ว ส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มอาหาร







