เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง : เสนอนโยบายแปลงรถยนต์เก่าเป็นรถไฟฟ้า

วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายที่เงียบงัน แต่มีผลกระทบใหญ่หลวง นั่นคือปริมาณรถยนต์เก่าที่สะสมอยู่ในระบบเป็นจำนวนมาก
ซากรถยนต์เก่ากับจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย
ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกชี้ว่าประเทศไทยมีรถอายุ 11–15 ปีจำนวน 9.1 ล้านคัน, อายุ 16–20 ปี 5.4 ล้านคัน, และรถที่เกิน 20 ปีอีก 5.7 ล้านคัน รวมกว่า 20 ล้านคัน
รถเหล่านี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหากไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ขณะที่ในอีกมุมหนึ่งรถเก่าเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นทรัพยากรล้ำค่า โดยดัดแปลงเป็นรถไฟฟ้า (electric car) ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า EV Conversion
บทความนี้ต้องการเสนอแนวทางต่อรัฐบาลไทยในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ บริหารสินทรัพย์เดิมขนาดมหาศาล ภายใต้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจเขียว เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม พลังงาน และเศรษฐกิจสังคม ไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
วิกฤติซากรถยนต์: ปัญหามลพิษที่ซ่อนอยู่ของแนวคิด“รถเก่าต้องโละทิ้ง”
การจัดการซากรถยนต์หมดอายุ (End-of-Life Vehicles, ELVs) ปัจจุบันยังถูกมองข้ามอยู่ ทว่าหากต้องปลดระวางรถเก่ากว่า 20 ล้านคันนั้นโดยไม่มีระบบรีไซเคิลที่ได้มาตรฐานประเทศไทยจะเผชิญวิกฤตขยะพิษครั้งใหญ่
รถหนึ่งคันมีสารเคมีอันตราย เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก สารทำความเย็น และโลหะหนัก รวมถึงขยะพิษพลาสติกและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ย่อยสลายยาก หากทิ้งอย่างไม่ถูกต้องจะปนเปื้อนสู่ดิน น้ำ และอากาศได้
LCA ยืนยันชัด: โครงสร้างรถเก่ายังมีคุณค่ามหาศาล
เหล็กและอะลูมิเนียมในรถยนต์เก่าเหล่านี้ยังคงแข็งแรงและใช้ต่อได้ การดัดแปลงเป็น EV ทำให้ลดการทำเหมือง การถลุงแร่ และการผลิตชิ้นส่วนใหม่จำนวนมาก
เมื่อประเมินด้วย LCA (Life Cycle Assessment) เป็นที่ชัดเจนว่าการสร้างรถใหม่มีรอยเท้าคาร์บอนสูงและใช้พลังงานมาก นี่ยังไม่นับรวมถึงข้อเสียอื่น เช่น มลพิษจากการทำเหมืองเช่นที่เกิดขึ้นที่แม่น้ำกก เชัยงราย การเปิดหน้าดินทำลายป่า การใช้ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ฯลฯ
การละเลยการใช้ซ้ำรถเก่าจึงคือการสร้างต้นทุนแฝงต่อประเทศอย่างที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น
เร่งบรรลุเป้าหมายก๊าซเรือนกระจก: EV Conversion คือทางลัด
ประเทศไทยตั้งเป้า Net Zero GHGs ไว้ที่ปี 2050 แต่การเพิ่มสัดส่วนรถ EV ใหม่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ทันการณ์ นอกจากนี้การผลิตรถ EV ใหม่หนึ่งคัน นับเฉพาะในส่วนของโรงงานนี้ ก่อคาร์บอนเฉลี่ยถึงราว 12 ตัน หากต้องผลิตรถใหม่แทนรถเก่า 20 ล้านคัน จะเกิดคาร์บอนมากถึง 240 ล้านตัน
การดัดแปลงรถเดิมเป็น EV ซึ่งไม่ปล่อยคาร์บอนจึงเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่า
มลพิษจากรถเครื่องยนต์เก่า: EV Conversion แก้ปัญหาแบบหายทันที
รถเครื่องยนต์ดีเซลเก่า คือแหล่งกำเนิดมลพิษหลักในเมืองอย่างหนึ่ง การแปลงเป็น EV ทำให้มลพิษจากท่อไอเสียเป็นศูนย์ทันที ไม่ว่าจะเป็น PM2.5, CO₂, CO, NO₂ หรือ VOCs (สารอินทรีย์ระเหยง่ายที่เป็นสารก่อมะเร็ง) นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระระบบสาธารณสุขจากโรคทางเดินหายใจในระยะยาวได้ด้วย
เสริมความมั่นคงพลังงาน: ลดพึ่งพาน้ำมันนำเข้า
ไทยนำเข้าน้ำมันดิบจำนวนมาก รถเก่ามีการเผาไหม้ที่ไม่มีประสิทธิภาพ การแปลงเป็น EV ช่วยลดการใช้น้ำมันและบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันโลก ขณะเดียวกันรถ EV ส่วนใหญ่ชาร์จไฟเวลากลางคืน (off-peak) จึงช่วยให้การไฟฟ้าบริหารกำลังการผลิตได้มีประสิทธิภาพขึ้น
การปล่อยให้รถเก่าก่อมลพิษต่อ หรือบังคับให้ทำลายรถทั้ง 20 ล้านคัน ล้วนไม่ใช่คำตอบ รัฐควรมองเห็นมูลค่าในรถเหล่านี้ และผลักดันนโยบาย EV Conversion ให้เป็นเครื่องมือจัดการสิ่งแวดล้อมระดับชาติ
ช่วยเร่งสู่ Net Zero GHGs และเป็นการบริหารทรัพยากรของประเทศได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ที่ทุกคนควรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดขึ้น
เมื่อเทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับปากท้อง
จากมิติด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานที่กล่าวมาแล้ว เราขอขยับไปยังอีกหัวใจสำคัญที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงไม่แพ้กัน นั่นคือมิติทางเศรษฐกิจและสังคม อันจะเป็นการทำงานที่ครบทั้ง 3 ขาของการพัฒนาที่ยั่งยืน
การผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า หากมุ่งเน้นแต่รถใหม่ป้ายแดงอาจกลายเป็นการทิ้งคนกลุ่มใหญ่ไว้ข้างหลัง เพราะไม่ใช่ประชาชนทุกคนจะมีขีดความสามารถทางการเงินเพียงพอในการเปลี่ยนเป็นรถใหม่ และประชาชนที่ว่านั้นคือกลุ่มคนตัวเล็กๆ ที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศเสียด้วย
การส่งเสริมการดัดแปลงรถยนต์(ที่มีเครื่องยนต์)เก่าเป็นรถไฟฟ้า เป็นทางสายกลางที่สมบูรณ์แบบในการประสานช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีแห่งอนาคตกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจสังคมของคนไทย และนี่คือเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลต้องหันมาลงทุนและสนับสนุนภาคส่วนนี้ให้ได้อย่างจริงจัง
เศรษฐศาสตร์ครัวเรือน: ลดรายจ่าย ชะลอหนี้ ยืดอายุสินทรัพย์
ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับที่น่ากังวล การบีบโดยทางอ้อมให้คนกลุ่มฐานรากที่มีฐานะไม่ดีนักเปลี่ยนจากรถยนต์เก่าไปใช้รถ EV ใหม่ อาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาหนี้สิน แต่การดัดแปลงรถเก่าเป็นรถไฟฟ้าคือทางออกที่ช่วยพยุงสถานะทางการเงินของประชาชนกลุ่มนี้ของประเทศได้
ค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงรถยนต์เก่าให้เป็น EV ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ปัจจุบันเริ่มมีความเป็นไปได้ในช่วงราคา 1.5 - 3 แสนบาท (แต่จะถูกลงอีกมากหากมีการสนับสนุนจากรัฐและทำในสเกลใหญ่) ซึ่งถูกกว่าการซื้อรถ EV ใหม่ถึง 3-4 เท่าตัว ทำให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีสะอาดได้โดยไม่ต้องก่อหนี้ระยะยาวก้อนโต
รถเก่าที่กินน้ำมัน คือรูรั่วของกระเป๋าเงินประชาชน การเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่อกิโลเมตรถูกกว่าน้ำมันถึง 3-5 เท่า จะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชนนำไปจับจ่ายใช้สอยในด้านอื่น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอีกโสดหนึ่ง
รถยนต์สันดาปเก่ามีมูลค่าลดลงตามกาลเวลาเป็นเรื่องปกติ แต่หากรัฐบาลสร้างระบบนิเวศการดัดแปลงที่ได้มาตรฐานรถเก่าเหล่านี้จะมีชีวิตใหม่ เป็นการยืดอายุทรัพย์สิน รวมทั้งมูลค่ารถมือสองก็จะไม่ตกต่ำจนกลายเป็นเพียงเศษเหล็ก นับเป็นการรักษากระเป๋าเงินให้กับเจ้าของรถเก่านั้นได้ง่ายๆ
ชุบชีวิต SMEs และแรงงาน: จากช่างซ่อมในอู่ต่างจังหวัด สู่วิศวกรดัดแปลง
ความน่ากลัวของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV คือการล้มหายตายจากของห่วงโซ่อุปทานเดิม อู่ซ่อมรถรายย่อย ร้านอะไหล่เซียงกง และโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์กำลังเสี่ยงที่จะต้องปิดตัว ส่วนคนงานก็ต้องตกงาน แต่ EV Conversion คือเรือชูชีพที่จะพาพวกเขาข้ามผ่านพายุลูกนี้ไปได้
ประเทศไทยมีอู่ซ่อมรถกระจายอยู่ทุกตำบล ทุกอำเภอ ช่างเหล่านี้มีทักษะทางกลที่ยอดเยี่ยม หากรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงทักษะ reskill/upskill ของช่างเหล่านั้น โดยการอบรมความรู้เรื่องระบบไฟฟ้าแรงดันสูง ความปลอดภัย และการติดตั้งแบตเตอรี่
เราจะสามารถเปลี่ยนช่างซ่อมรถนับแสนคนให้กลายเป็นช่างเทคนิค EV Conversion ที่มีงานทำรองรับในภูมิลำเนาเดิม ไม่ต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน อันนับเป็นข้อดีทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจท้องถิ่น
ยืดอายุอุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่เป็น local content
รถเก่าดัดแปลงเป็นรถไฟฟ้ายังคงต้องใช้ช่วงล่าง ระบบเบรก ระบบบังคับเลี้ยว ตัวถัง และยางอยู่เช่นเดิม ซึ่งโรงงาน SMEs ไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิตและบำรุงรักษาเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว การดัดแปลงรถเก่าที่ว่านี้จึงช่วยรักษาออเดอร์ให้กับโรงงานเหล่านี้ให้อยู่รอดได้
ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาทำชิ้นส่วนไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี มอเตอร์ ขายึดมอเตอร์ กล่องแปลงสัญญาณ หรือชุดสายไฟ ฯลฯ ไปพร้อมๆ กันด้วย
อุตสาหกรรมใหม่ (new S-Curve): โอกาสทองของการส่งออก
หากรัฐบาลสนับสนุนให้เกิดการทำ EV Conversion ในระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพียงแค่การทำทีละคันในอู่เล็กๆหรือตามโรงรถ สิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศ คือ ก) Platform Economy: เราสามารถสร้างชุดคิตดัดแปลงสำเร็จรูป (conversion kits) สำหรับรถยอดนิยมในไทย เช่น รถกระบะ 1 ตัน หรือรถเก๋งยอดฮิต
โมเดลนี้สามารถพัฒนาให้เป็นสินค้าส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แอฟริกา หรือละตินอเมริกา ที่ใช้รถรุ่นคล้ายๆ กับเราและต้องการลดมลพิษกับประหยัดน้ำมันเช่นกัน
ข) ส่งออกความเชี่ยวชาญ: ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมและส่งออกช่างฝีมือที่มีความชำนาญในการดัดแปลงรถเก่า เป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่งจากการบริการทางวิชาชีพ
แต่มีข้อควรต้องระวัง คือต้องไม่ให้มือสมัครเล่น เข้ามาทำงานนี้อย่างปราศจากการควบคุม จนกลายเป็นการทำลายระบบ จึงต้องมีการอบรม การสอบ การประเมินอย่างเข้มข้นด้วย
รูปธรรมของการใช้งาน: เริ่มต้นได้ทันทีและเห็นผลชัดเจน
นโยบายนี้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและเห็นผลได้เร็ว โดยเริ่มจากกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสุดก่อน (Quick Big Win) ได้แก่
ก) รถที่มีเส้นทางแน่นอน เข่น รถเมล์ รถทัวร์ รถเก็บขยะของเทศบาล รถสองแถว หรือรถขนส่งสินค้า ฯลฯ รถเหล่านี้วิ่งในระยะทางที่ค่อนข้างแน่นอนต่อวัน ทำให้สามารถคำนวณขนาดแบตเตอรี่ที่เหมาะสมได้แม่นยำ กล่าวคือไม่ต้องแบกแบตเตอรี่ก้อนใหญ่เกินความจำเป็น ทำให้ต้นทุนการดัดแปลงถูกลงและความคุ้มทุนเร็วขึ้น
ข) รถราชการ: การนำร่องดัดแปลงรถราชการที่หมดอายุแทนการซื้อใหม่ จะช่วยประหยัดงบประมาณแผ่นดิน และเป็นตัวอย่างที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
ค) รถใช้งานในการเกษตร รถแทรกเตอร์ รถไถพรวน รถเก็บเกี่ยวผลผลิต รถกลุ่มนี้มีที่ประยุกต์ใช้งานได้มาก ผลิตส่งขายต่างประเทศก็ได้
ง) รถคลาสสิก แม้นเป็นเรื่องของจิตใจ แต่นั่นก็เป็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมยานยนต์ และสามารถส่งแรงกระตุ้นทางสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เร็วขึ้น
บทบาทนักการเมือง
ทุกประเทศขับเคลื่อนด้วยนอกจากราชการและเอกชนแล้ว นักการเมืองก็มีส่วนด้วยอย่างมาก การกำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศทำโดยพรรคการเมือง ดังนั้น นักการเมืองต้องคิดและมองให้กว้าง ไกล และลึกไปพร้อมกัน
การผลักดันสิ่งดีๆ เช่นการแปลงรถยนต์เก่าเป็นรถไฟฟ้านี้จึงจะเกิดขึ้นได้ และเราก็หวังว่าบทความนี้จะเปิดโลกทัศน์ในสิ่งที่เข้าใจไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากนี้ ให้แก่นักการเมืองทุกท่าน และนำไปใช้จริงต่อไป
บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องมองข้ามช็อต ไม่ใช่แค่การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติมาตั้งโรงงานผลิตรถใหม่ แต่ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในด้วยการส่งเสริม EV Conversion ให้เป็นวาระเร่งด่วน โดย…
ก) ปลดล็อกกฎหมาย แก้ไขระเบียบกรมการขนส่งทางบกให้เอื้อต่อการจดทะเบียนรถดัดแปลง ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก แต่ยังคงมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด
ข) มาตรการทางภาษีและเงินอุดหนุน พิจารณาลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ เช่น เซลล์แบตเตอรี่ มอเตอร์ สำหรับผู้ประกอบการดัดแปลงที่ได้รับมาตรฐาน และอาจพิจารณาเงินอุดหนุนให้กับประชาชนที่นำรถเก่ามาดัดแปลง เพื่อจูงใจและลดภาระต้นทุน อย่างน้อยก็ในช่วงต้นของการผลักดัน
ค) การรับรองมาตรฐานและความปลอดภัย ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานทดสอบ เพื่อกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับรถดัดแปลง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและบริษัทประกันภัย
ง) กองทุนนวัตกรรม สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับ SMEs ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจมาสู่การดัดแปลงรถเก่าเป็นรถไฟฟ้า
การลงทุนใน EV Conversion คือการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกอย่างน้อยหกตัว คือ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม มลพิษ พลังงาน และลดโลกร้อน จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะมันคือการลงทุนในคน ลงทุนในสิ่งแวดล้อม และลงทุนในอนาคต ที่คนไทยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง
ผู้เขียน
ปริพัตร บูรณสิน
อุปนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงไทย
ธงชัย พรรณสวัสดิ์
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย







