เวิลด์แบงก์ เตือน 'ไทย-จีน' เผชิญ 'แรงกดดันเงินฝืด'

ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ระบุว่าไทย และจีน เป็นสองประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิกที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด
KEY
POINTS
- ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ระบุว่า ไทย และจีน เป็นสองประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิกที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด
- ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ลดลงติดต่อกัน 6 เดือน ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียน
- อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ของไทยมองว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงเงินเฟ้อต่ำ ยังไม่ถือว่าเป็นภาวะเงินฝืดเต็มรูปแบบ
เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจนทำให้การเติบโตรั้งท้ายหลายประเทศในภูมิภาค และอีกหนึ่งความท้าทายคือระดับ "เงินเฟ้อ" ของประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างล่าสุด ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศไทย เดือนก.ย.2568 อยู่ที่ 100.11 ลดลง 0.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลง 6 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2568
ล่าสุดวันที่ 7 ต.ค.68 นายอาดิตยา แมตทู (Aaditya Mattoo) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก กล่าวในการงาน Press Briefing เกี่ยวกับรายงาน East Asia and Pacific Economic Update ฉบับเดือนต.ค. 2025 เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเงินเฟ้อในภูมิภาคว่า
“ไม่มากก็น้อย เงินเฟ้อในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ส่วนใหญ่ยังอยู่ในเป้า... มีจีน และไทยสองประเทศที่เผชิญกับแรงกดดันเงินฝืด (Deflationary Pressures)”
นายอาดิตยา กล่าวต่อ ปัญหาเงินฝืดในจีนส่งผลให้ปักกิ่งต้องส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วยปริมาณที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ถูกลง การนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีราคาถูกเหล่านี้ จึงช่วยกดดันเงินเฟ้อในประเทศที่นำเข้า ทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่สูงขึ้น แม้ว่าจะสร้างความกังวลให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจากจีนโดยตรงก็ตาม
นอกจากนี้ เขาอธิบายต่อว่า ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในหลายประเทศในภูมิภาคนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศอุตสาหกรรม (ประเทศเศรษฐกิจขั้นสูง) ผลที่ตามมาคือเกิดกระแสเงินทุนไหลเข้า(capital inflows) จำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้ได้มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น หลายประเทศในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย และอินโดนีเซีย จึงสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่เงินเฟ้อติดลบมา 6 เดือน ยังไม่ถือว่าเป็นเงินฝืด แต่เป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงเงินเฟ้อต่ำ
เขากล่าวเสริมว่า เงินฝืดต้องมีองค์ประกอบหลายด้านที่สำคัญแม้เงินเฟ้อทั่วไปติดลบแต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก สะท้อนถึงการบริโภคยังมีต่อเนื่อง อัตราจ้างงานของไทยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจนน่ากังวล และแม้จีดีพีไทยจะต่ำแต่ก็ยังขยายตัว แต่ก็ยอมรับว่าสถานการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่างบประมาณจากภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่กำลังออกมา เช่น คนละครึ่ง กระตุ้นท่องเที่ยว เป็นต้น จะมีผลต่อการเพิ่มความเชื่อมั่นการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ก็ไม่มีผลต่อเงินเฟ้อจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนกับการสูงขึ้นของราคาอาหารสด และราคาพลังงานปีนี้ที่มีสัดส่วนกว่า 29 % ในการคำนวณเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ หากเทียบอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ณ เดือนสิงหาคม 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลง 0.79 % โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 9 จาก 140 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา อินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว)
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







