วัดฝีมือแก้วิกฤติศก. ‘ครม.เศรษฐา1'
เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้จากนโยบายประชานิยมที่ป่าวประกาศมาก่อนหน้านี้จริงหรือไม่ หรือทั้งหมดเป็นแค่ราคาคุย..
วันนี้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีจะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน
หลังจากนั้น จะมีการเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ ซึ่งตามไทม์ไลน์ จะจัดประชุมวันที่ 6 กันยายน เพื่อเตรียมพร้อมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
แต่แม้ยังไม่ไปถึงขั้นตอนนั้น เราได้เห็นความแอคทีฟของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในการออกพบปะหลายหน่วยงาน หลายสมาคม เพื่อรับฟังปัญหา แน่นอนว่าปัญหาประเทศขณะนี้ โจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้อย่างเร่งด่วน คือ ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวของไทยสะท้อนออกมาไม่ค่อยดีนัก
โดยเฉพาะตัวเลข จีดีพี ของไทยที่ขยายตัวเพียง 1.8% ในไตรมาส 2 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งยังต่ำกว่าการคาดหวังไว้อย่างมาก
ดังนั้นรัฐบาลใหม่จำเป็นอย่างยิ่งต้องหามาตรการ หรือรีบผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในมิติต่างๆ ออกมา ซึ่งก็อาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะหนึ่ง ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตช้าลง เพราะเรายังพึ่งพาบุญเก่า เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวเดิม ที่พอถึงยุคหนึ่งมันขาดเสน่ห์ เพราะไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขหรือมีอะไรที่จูงใจมากพอ
ประเทศไทยเอง ยังเป็นผู้รับจ้างผลิตสินค้า แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี เราจึงไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการผลิตได้มากกว่าที่เป็นอยู่
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังหมุนเร็ว แต่ประเทศไทยยังเดินช้า บางช่วงก็สะดุดล้ม ความสามารถการแข่งขันก็ไม่ดีพอ เมื่อต้องก้าวขึ้นไปแข่งกับนานาประเทศบนเวทีโลก ช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยสูญเสียอะไรหลายอย่างบนเวทีการค้าโลก
ขณะที่โครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย ก็ไม่สอดคล้อง ก้าวไม่ทัน หรือพัฒนาไปไม่ถึงเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนเร็ว เราติดกับดักกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ของการจูงใจต่างชาติเข้ามาลงทุน
ทั้งยังมีปัจจัยของแรงงาน ที่ขาดการอัปสกิล รีสกิล เพื่อให้ทันกับโลกยุคใหม่ แรงงานไม่ถูกพัฒนาไปสู่แรงงานที่มีทักษะสูง ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความท้าทายของเศรษฐกิจระยะยาว
ดังนั้นอีกโจทย์ใหญ่และยากของรัฐบาลเศรษฐา 1 คือ การพัฒนา “คน” ในประเทศให้มีขีดความรู้ความสามารถ มีทักษะที่สอดรับการเปลี่ยนไปของโลกอนาคต ยิ่งเรากำลังเดินเข้าสู่สังคมสูงวัย ยิ่งเป็นปัจจัยลบ เป็นอุปสรรคฉุดการเติบโตระยะยาวของระบบเศรษฐกิจ
ทั้งหมดทั้งมวล นับเป็นโจทย์ยาก โจทย์ใหญ่ ที่ครม.เศรษฐา 1 ต้องแก้ปัญหาแบบลงลึกระดับโครงสร้าง ครม.ชุดใหม่ไม่มีเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ประชาชนอยากเห็นความแอคทีฟของรัฐบาลเศรษฐา 1 ในการแก้วิกฤติเศรษฐกิจ และการขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
หลายเรื่องที่ให้คำมั่นกับประชาชนไว้ ท่ามกลางข้อจำกัดมากมายของรัฐบาลผสมที่มาจากร้อยพ่อพันธุ์แม่ เป็นการพิสูจน์ฝีมือ ครม.เศรษฐา 1 ว่า จะสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้แค่ไหน เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้จากนโยบายประชานิยมที่ป่าวประกาศมาก่อนหน้านี้จริงหรือไม่ หรือทั้งหมดเป็นแค่ราคาคุย..