เอกชนหวั่นทัวร์จีนพลาดเป้าหลังเข้มวีซ่า

บริษัททัวร์คู่ค้าในประเทศจีนได้สะท้อนปัญหามายังแอตต้า เมื่อราวกลาง เม.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับประเด็นสถานทูตและกงสุลไทยในประเทศจีน 8 แห่ง ปรับเงื่อนไขเรื่องการขอวีซ่าเข้าไทย มีผลตั้งแต่ 8 พ.ค. 2566 เป็นต้นไป ให้ “นักท่องเที่ยวจีนทุกคน” ต้องยื่นขอ “วีซ่าเดี่ยว” เท่านั้น

โดยมีเงื่อนไขที่เข้มงวดอย่างมาก ผู้ประกอบการบางรายให้มุมมองว่ายากกว่าการขอวีซ่าไปยุโรปด้วยซ้ำ ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนแบบหมู่คณะ (กรุ๊ปทัวร์) ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปอย่างแน่นอน อาจเลือกเดินทางไปประเทศอื่นๆ ที่อำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่ามากกว่า อาทิ เวียดนาม รวมถึงฮ่องกง มาเก๊า หรือเที่ยวในประเทศจีนแทน


นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการทัวร์จีนทั้งฝั่งไทยและจีน กำลังงงและหงุดหงิดกับการปรับเงื่อนไขของสถานทูตและกงสุลของไทยในประเทศจีนอย่างมาก และยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ว่าทำไปเพื่ออะไร จึงต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ออกมาชี้แจงเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยผู้ประกอบการทัวร์ฝั่งจีนได้เรียกร้องให้เร่งปรับลดเงื่อนไข เอื้อต่อการขอวีซ่าเข้าไทยได้สะดวก อย่างน้อยก็กลับไปเหมือนยุคก่อนโควิดเพื่อความคล่องตัวได้หรือไม่


หลังจากผู้ประกอบการทัวร์จีนอดทนมาตลอด 3 ปีนับตั้งแต่จีนล็อกดาวน์ควบคุมสถานการณ์โควิด กระทั่งจีนเปิดประเทศ อนุญาตให้บริษัททัวร์พาชาวจีนออกนอกประเทศได้ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 2566 เป็นต้นไป หรือผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้ว ถือเป็นช่วงสำคัญของการฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์

หวั่นกระทบเป้า “จีนเที่ยวไทย” 5 ล้านคน


“ทางการไทยควรส่งเสริมให้ชาวจีนมาเที่ยวไทยมากขึ้นไม่ใช่หรือ แต่ทำไมถึงปรับเงื่อนไขเพิ่ม เหมือนสกัดตลาดกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการเดินทาง ในเมื่อประเทศไทยกำลังต้องการนักท่องเที่ยวจีนมากระตุ้นรายได้การท่องเที่ยว ก็ควรอำนวยความสะดวกเรื่องการขอวีซ่า เพื่อเห็นตัวเลขจีนเที่ยวไทยเข้ามาเป็นกอบเป็นกำ มองว่าน่าจะกระทบต่อเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยตลอดปี 2566 ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งไว้อย่างน้อย 5 ล้านคน ซึ่งต้องรอดูอีกทีว่าจะกระทบมากน้อยแค่ไหนในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป” นายศิษฎิวัชรกล่าว


ทั้งนี้ ททท.รายงานสถิติว่า ในช่วง 3 เดือนแรก ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค. 2566 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทย 517,242 คน ส่วนในเดือน เม.ย. ตั้งแต่วันที่ 1-25 มีจำนวน 251,475 คน เมื่อรวมจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-25 เม.ย. มี 768,717 คน

เงื่อนไขเยอะหวั่นคนจีนกระจุกขอ VoA ที่สนามบิน


นายศิษฎิวัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเงื่อนไขที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ นักท่องเที่ยวจีนต้องยื่นเอกสารจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่พักพร้อมหลักฐานการจ่ายเงิน เอกสารรับรองทางการเงิน ต้องมีเงินในบัญชีธนาคาร 10,000 หยวนขึ้นไป และรูปถ่ายเจ้าของพาสปอร์ตขณะถ่ายคู่กับหน้าพาสปอร์ต


ด้านบริษัททัวร์ผู้เป็นตัวแทนยื่นขอวีซ่า นอกเหนือจากข้อจำกัด ไม่สามารถเป็นตัวแทนยื่นขอวีซ่าแบบกรุ๊ปได้อีกต่อไป ยังมีการจำกัดจำนวนที่แต่ละบริษัททัวร์สามารถยื่นขอวีซ่าด้วย เช่น บริษัททัวร์กลุ่ม A สามารถยื่นได้เฉพาะวันจันทร์ พุธ และศุกร์เท่านั้น จำนวน 20 เล่มหรือ 30 เล่มต่อวัน ส่วนบริษัททัวร์กลุ่ม B สามารถยื่นได้เฉพาะวันอังคาร พฤหัส และเสาร์เท่านั้น จำนวน 20 เล่มหรือ 30 เล่มต่อวันเช่นกัน ต่างจากในยุคก่อนโควิดระบาด ไม่มีการกำหนดลิมิต สามารถยื่นเอกสารเพื่อขอวีซ่ากี่เล่มก็ได้


ขณะเดียวกัน ทางบริษัททัวร์ในจีนต้องแสดงเยลโลว์การ์ด (Yellow Card) ซึ่งออกโดยทางการจีน ประกอบการเป็นตัวแทนยื่นขอวีซ่าด้วย ต่างจากก่อนโควิดที่บริษัททัวร์สามารถยื่นขอวีซ่าได้ โดยไม่ต้องแสดงเยลโลว์การ์ด แต่พอสถานทูตและกงสุลไทยปรับเงื่อนไขให้ต้องแสดงเยลโลว์การ์ดด้วย เยลโลว์การ์ดของบริษัททัวร์บางแห่งหมดอายุไปแล้วในช่วงโควิดระบาด จึงอยากให้สถานทูตและกงสุลไทยช่วยอะลุ้มอล่วย ผ่อนผันให้สะดวกเหมือนเดิม


“เมื่อสถานทูตและกงสุลไทยในประเทศจีนปรับเงื่อนไข ไม่ให้ขอวีซ่าแบบกรุ๊ป มองว่านอกเหนือจากเป็นการสกัดตลาดกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่แล้ว อาจทำให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจมาขอวีซ่าตรงหน้าด่าน (Visa on Arrival: VoA) กันมากขึ้น และเกิดความแออัดที่สนามบินได้”

 

แจงเข้มงวดขอวีซ่าเดี่ยวสกัดสารพัดปัญหาทัวร์จีน
นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า การปรับเงื่อนไขดังกล่าวให้นักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ยื่นขอวีซ่าเดี่ยวนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่กฎใหม่ แต่เป็นกฎเดิมที่ผู้ยื่นขอวีซ่าจะต้องยื่นเอกสารแบบเดี่ยว โดยที่ผ่านมากรมการกงสุลได้ผ่อนผันเรื่อยมา แต่วันที่ 8 พ.ค.นี้เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวจีนทุกคนจะต้องยื่นขอวีซ่าแบบเดี่ยว (รายบุคคล) จากเดิมกรุ๊ปทัวร์ 1 กลุ่ม เคยยื่นเอกสารมาชุดใหญ่ทีเดียวได้ เพราะบางทีหลักฐานที่พัก ก็สามารถระบุได้ว่าทุกคนพักที่เดียวกัน แต่ตามเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้นนับจากนี้ หากยื่นขอวีซ่าสำหรับ 30 คน ก็ต้องมีเอกสารแยกเป็นรายบุคคล 30 ชุด
“วันที่ 10 พ.ค.นี้ กรมการท่องเที่ยวจะหารือกับกรมการกงสุล เพื่อขอผ่อนผันเงื่อนไขการขอวีซ่าต่ออีกระยะในช่วงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนได้หรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วทางสถานทูตและกงสุลไทยในจีนเองก็อยากผ่อนผันต่อ แต่ที่ผ่านมาภาคเอกชนท่องเที่ยวเรียกร้องเรื่องปัญหาทัวร์ในตลาดจีนเที่ยวไทย เช่น นอมินี ทัวร์ศูนย์เหรียญ และอื่นๆ ทำให้ต้องเข้มงวดขึ้น ป้องกันการรั่วไหลหรือยัดไส้ พอเข้มงวด ก็จะกระทบต่อแบบนี้ ทำให้ต้องใช้หลายๆ มาตรการรวมกัน ใครที่จะยัดไส้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะต้องแสดงเอกสารขอวีซ่าเป็นรายบุคคล ต่างจากเมื่อก่อนที่ยัดมาเลยแล้วแสดงเอกสารว่าพักที่เดียวกัน”


ทั้งนี้ ทางกรมการกงสุลแจ้งว่า แม้จะมีการยื่นขอวีซ่าเข้าไทยจำนวนมาก ก็เร่งพิจารณาวีซ่าให้เร็วขึ้น เพียงแต่เอกชนจะต้องจัดเตรียมเอกสารมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนบางส่วนเปลี่ยนไปขอวีซ่า VoA แทน เกิดความหนาแน่นที่สนามบิน แต่อย่าลืมว่าค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า VoA อยู่ที่ 2,000 บาท/คน/ครั้ง สูงกว่าค่าธรรมเนียมขอวีซ่าจากสถานทูตหรือกงสุลซึ่งอยู่ที่ 1,000 บาท/คน/ครั้ง ก็น่าจะยังดึงให้คนจีนให้มาขอวีซ่าที่สถานทูตหรือกงสุลเช่นเดิม