ส.อ.ท. ชง 4 แนวทางปรับค่าไฟ ‘ไม่เกิน’ 4.72 บาท/หน่วย

ลุ้น​ กกพ.เคาะค่าไฟงวด​ พ.ค.วันนี้​ ขณะนี้​สภาอุตสาหกรรม​ยัน​รัฐต้องลดค่าไฟ​ ไม่เกิน​ 4.72​ บาท/หน่วย​ ทั้งภาคธุรกิจ​และ​ครัวเรือน​ ช่วยลดต้นทุน​ ลดภาระค่าครองชีพ​ประชาชน​

ความลงตัวของค่าไฟฟ้า 
งวด2/66  ต้องไม่สูงกว่า 4.72 บาท/หน่วย ทั้งครัวเรือน และภาคธุรกิจ :

ในช่วงนี้คงเป็นช่วงเวลาที่ภาครัฐกำลังศึกษาตัวเลขที่เหมาะสมของค่า FT ค่าไฟฟ้า งวด 2/66 ( พค-สค 66) หลังจาก ปรับราคาขึ้นมา 13% เมื่อ มค66 ( เป็น 5.33 จากเดิม 4.72 บาท/หน่วย ) สำหรับภาคธุรกิจ
   ทาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอเสนอแนะมุมมองในการบริหารค่าFT ไฟฟ้า ในงวด2/66  ต่อภาครัฐ ดังนี้…

1) ปรับลดค่า FT ของภาคธุรกิจให้กลับมายืนราคาไม่เกิน 93 สตางค์  เพื่อให้ค่าไฟฟ้า ของภาคธุรกิจ ไม่สูงกว่า 4.72 บาท/หน่วย เหมือนงวด 3/65 ( กย-ธค 65)
 ด้วยเหตุผลปัจจัยบวก ของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ในงวด2 /66 vs  งวด1/66   ไม่ว่าจะเป็น…
   1.1 ค่าพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น LNG , ดีเซล ,น้ำมันเตา และอื่นๆที่ลดลงของตลาดโลก
  1.2 ตลอดจน ต่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้น
 1.3 NG ในอ่าวไทย ที่จะมี Supply มากขึ้นในกลางปีนี้ ตามลำดับ

2) การสนับสนุนจาก ภาคนโยบาย และ ผู้เกี่ยวข้องที่ต้องจัดสรร NG จากอ่าวไทย มาผลิตไฟฟ้าภายในประเทศให้เต็มที่ รองรับ peak load ในช่วงฤดูร้อนนี้   มากกว่าไปสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่ส่วนใหญ่นำไปใช้ในการส่งออก และมีทางเลือกอื่นรองรับ

3) ภาคครัวเรือน ของประชาชน ก็ไม่ควรต้องจ่ายค่าไฟฟ้า แพงกว่าเดิม ที่ 4.72 บาท/หน่วย
  รวมทั้งกลุ่มเปราะบาง ที่ภาครัฐเคยตรึงราคา
  ด้วยภาคอุตสาหกรรม ก็ห่วงใยผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนเช่นกัน

  ทั้งนี้ถือเป็นอำนาจของ กพช.ในการพิจารณาระดับราคาค่าไฟฟ้า งวด2/66 ของภาคครัวเรือน

4) การชำระหนี้ ตลอดจนปัญหาสภาพคล่องของ EGAT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ รับผิดชอบการผลิตและราคาไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของ ประเทศ ก็ควรประคอง การคืนหนี้จากค่า FT ในระยะเวลาที่เหมาะสม ด้วยสถานการณ์ ที่ต้นทุนพลังงานลดลง ตามลำดับ

  จึงไม่มีความจำเป็นต้องเร่งคืนหนี้ให้ EGAT จากค่า FT เมื่อเทียบกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ที่กำลังเจอภาวะการชะลอตัวจากการส่งออก ตามภาวะตลาดโลก

 อนึ่ง มุมมองทั้งหมดดังกล่าว
  ขอส่งไปสู่ผู้รับผิดชอบทั้งภาคนโยบาย และ  กกพ. 
       ด้วยเอกชนในนาม กกร. ไม่มีโอกาสได้ร่วมประชุมหารืออย่างพร้อมเพรียง 3 ฝ่าย ( ภาคนโยบาย + กกพ + กกร ) เพื่อแก้ปัญหาของประเทศร่วมกันอย่างสร้างสรรค์  ตามที่เคยคุยกันไว้เมื่อ 31 มค. ที่ผ่านมา
  
  เรามองว่า ปัญหาวิกฤติพลังงานและค่าไฟฟ้าของประเทศครั้งนี้  ได้หมักหมมปัญหา สร้างความเหลื่อมล้ำของประเทศไว้มากมาย 
  เราเร่งรอวันที่จะมีผู้รับผิดชอบ ที่กล้าหาญ และจริงใจ ในการหาทางออก ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง   มากกว่า ที่เป็นอยู่ 
  ตลอดจน เราไม่อยากเห็นภาวะที่เอกชน และประชาชน ต้องมานั่งลุ้น และภาวนา ตลอดจนพึ่งพิงปัจจัยบวกของค่าไฟฟ้า จากราคาพลังงานโลก ตลอดจนอัตราแลกเปลี่ยน ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา
  ทั้งๆที่ เรายังมีทางออกที่สามารถพึ่งพิงตัวเอง* และป้องกันความเสี่ยงได้อย่างมากมายตามข้อเสนอที่เคยเสนอไปทั้งหมด  แต่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วและจริงจังจากผู้รับผิดชอบ

อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย