กกร. หารือ”สุพัฒนพงษ์”ชื่นมื่น เคาะ 3 แนวทางลดต้นทุนพลังงาน

กกร. หารือ”สุพัฒนพงษ์”ชื่นมื่น เคาะ  3 แนวทางลดต้นทุนพลังงาน

เอกชนหารือ” ”สุพัฒนพงษ์” ร่วมกันในการแก้ไขปัญหาค่าไฟสูง เคาะ3 แนวทางลดต้นทุนพลังงาน พร้อมตั้งกรอ.พลังงาน ดูปัญหาด้านพลังงาน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า  ได้นำผู้แทนภาคเอกชน ได้เข้าหารือนอกรอบกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหาแนวทางออกการปรับขึ้นค่าไฟซึ่งกระทบต่อต้นทุนพลังงานของภาคเอกชน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดย คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ. ได้ชี้แจงถึงมติ ของกระทรวงพลังงาน ให้ ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)  ทบทวนประมาณการณ์สมมุติฐานราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาน้ำมันดีเซล อัตราแลกเปลี่ยน และภาระหนี้คงค้างของ กฟผ. เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่นๆที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ค่า Ft จากเดิมที่จะปรับสูงขึ้น 190.44 บาทต่อหน่วยเหลือเพียง 154.92 บาทต่อหน่วย ซึ่งทำให้ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตรา 5.33 บาทต่อหน่วย ในรอบบิลเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 นี้

กกร. หารือ”สุพัฒนพงษ์”ชื่นมื่น เคาะ  3 แนวทางลดต้นทุนพลังงาน

โดยนายสุพัฒนพงษ์ ได้ชี้แจงถึงสถานการณ์พลังงาน และข้อจำกัดด้านกฎหมาย ณ ปัจจุบัน เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนของผู้ประกอบการร่วมกันในระยะสั้น การประชุมครั้งนี้ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นของภาคเอกชน 3 ข้อ ประกอบด้วย 

 1. ขอให้สมาคมธนาคารไทย พิจารณายืดขยายระยะเวลาการส่งคืนเงินต้น สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนออกไปอีก 1 ปี และคิดอัตราดอกเบี้ยในราคาถูก เพื่อเป็นการขอลดค่า AP (Availability Payment) หรือค่าความพร้อมจ่าย จากโรงไฟฟ้าเอกชนเป็นการชั่วคราวในช่วงวิกฤตพลังงานสูง

2. ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ 100 % (มีมากกว่า 1 พันราย) ให้ลดการใช้ลงเหลือ 80 % โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันดีเซล 20 % ที่ในขณะนี้มีราคาถูกกว่า หรือใช้พลังงานทดแทนอื่นที่เหมาะสม เพื่อทยอยให้ก๊าซธรรมชาติของไทยเข้าสู่ระบบมากขึ้น ในกลางปี 2566 ตามการคาดการณ์ของภาครัฐที่ประมาณการณ์จะมีมากขึ้นแบบขั้นบันได ซึ่งจะทำให้การคำนวณค่า Ft ในรอบถัดไปมีอัตราที่ลดลง แต่การปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงผู้ประกอบการบางรายอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ ซึ่งจะมีการรวบรวมและหารือกับภาครัฐในการชดเชยผลกระทบดังกล่าว กับผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือ ต่อไป ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับจากภาคเอกชนหลายรายแล้ว อาทิ เช่น ทาง SCG เป็นต้น

3. ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านพลังงาน (กรอ. ด้านพลังงาน) เพื่อร่วมกันหารือ แก้ไขปัญหาและสร้างความเข้าใจในด้านพลังงานที่มีผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ต่อไป ซึ่งส่วนนี้หากมีการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ก็จะสามารถหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกันได้

นายสนั่น กล่าวว่า   หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือไปด้วยกัน ในข้อเสนอแนะดังกล่าว จะส่งผลให้มีการคำนวณค่า Ft ในรอบใหม่ได้เร็วขึ้น ซึ่งข้อเสนอแนะ 3 ข้อดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของ กกร.ที่เสนอแนะต่อภาครัฐไปก่อนหน้านี้ โดยเชื่อว่าจะเป็นทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหาค่าไฟสูง ในระยะสั้นได้เร็วขึ้น สำหรับระยะยาวภาคเอกชนก็พร้อมที่จะปรับตัวในการใช้พลังงานทางเลือกให้เหมาะสม ในส่วนนี้เป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แม้ว่าค่าไฟของประเทศไทยในปัจจุบันจะสูงกว่าทั้งเวียดนามและอินโดนิเซีย ก็ตาม แต่ประเทศอื่นใช้สัดส่วนพลังงานจากถ่านหินที่มากกว่าไทย นอกเหนือจากนี้ ภาคครัวเรือน ก็จำเป็นต้องมีความตระหนัก ปรับตัวในการใช้ไฟฟ้าอย่างเหมาะสมเช่นกัน ซึ่งจะมีการหารือใน กรอ. พลังงาน เพื่อสร้างมาตรการและปลูกฝังจิตสำนึกในการประหยัดพลังงาน ในลำดับต่อไป

“ต้องขอบคุณท่านนายกฯ ที่ฟังเสียงภาคธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าไฟครั้งนี้ โดยได้ช่วยลดค่า Ft จากเดิมที่จะปรับสูงขึ้น ถึงแม้ไม่ได้ตรึงราคาตามข้อเสนอของภาคเอกชน ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับตัวและอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงบางส่วนโดยไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป ภาคเอกชนทุกสาขาธุรกิจมุ่งมั่นพร้อมร่วมหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนในการดูแลราคาพลังงานและราคาสินค้าและบริการในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน พร้อมประคองกำลังซื้อภายในประเทศให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป”นายสนั่น กล่าว