ส.อ.ท.มั่นใจเศรษฐกิจจีนฟื้น ดันลงทุน “อาเซียน” ต่อเนื่อง

ส.อ.ท.มั่นใจเศรษฐกิจจีนฟื้น ดันลงทุน “อาเซียน” ต่อเนื่อง

ส.อ.ท.เชื่อมั่น “สี จิ้นผิง” สร้างเสถียรภาพการดำเนินนโยบายจีน มุ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีในปี 2035 คาดเม็ดเงินลงทุนจีนโตต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน หอการค้า มั่นใจเศรษฐกิจจีนฟื้นช่วยหนุนไทย คาดนักท่องเที่ยวจีนมาไทยปีหน้า 5 ล้านคน พร้อมมาลงทุนไทยต่อเนื่อง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่จีนได้ “สี จิ้นผิง” ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดต่อในวาระที่ 3 ทำให้มีความเชื่อมั่นว่านโยบายของจีนจะมีเสถียรภาพ และมีการดำเนินนโยบายหลักอย่างต่อเนื่องเพียงมีการเปลี่ยนทีมผู้บริหารเป็นคนที่อายุไม่มากนัก ซึ่งการผลัดใบครั้งนี้จะทำให้จีนเดินหน้าตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ว่าจะขึ้นเป็นประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีในปี 2035

“อย่างไรก็ตาม เราเคยคาดการณ์ว่าภายหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ในเดือน พ.ย. จะทำให้จีนผ่อนคลายนโยบายด้านโควิดและทำให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามามากยิ่งขึ้นในช่วงปลายปี แต่มีข่าวว่าจีนจะยังดำเนินนโยบายซีโร่โควิดต่อเนื่องถึงช่วงเดือน มี.ค.2566”

ทั้งนี้ ผลกดดันจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่นำไปสู่สงครามด้านเทคโนโลยี ทำให้ตั้งแต่ปี 2564 นักลงทุนจากจีนมีความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยงการลงทุนและสร้างฐานผลิตแห่งใหม่ ทำให้มีแนวโน้มลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทยในปีนี้ที่จีนขึ้นมาเป็นอันดับแรกแซงหน้าประเทศอื่น 

อย่างไรก็ตาม นโยบาย Zero Covid ที่ยังดำเนินอยู่ ยังกดดันเรื่องการเดินทางแต่เชื่อว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้วและมีเสถียรภาพมากขึ้นจะทำให้มีนักลงทุนจีนเดินทางเข้ามามากขึ้น

โดยอุตสาหกรรมหลักที่จีนเลือกลงทุนในไทยคืออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และอุตสาหกรรมไฮเทค โดยจะมีการพิจารณาศักยภาพตลาดของแต่ละประเทศในภูมิภาค

“ประเทศไทยยังเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของจีนเนื่องจากการมีมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน และนักลงทุนจีนชอบสภาพแวดล้อมในไทย เชื่อว่าหลังจากนี้เม็ดเงินลงทุนจากจีนจะเข้ามาในไทยมากยิ่งขึ้น ขึ่นอย฿กับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐและจีน”

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนสมัยที่ 3 ของ นายสีจิ้นผิง จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจไทย เพราะนโยบายจะถูกดำเนินการต่อเนื่องทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวซึ่งการที่จีนสามารถกลับมาฟื้นตัวจากปัญหาต่างๆ ภายในประเทศได้ จะทำให้ไทยได้รับอานิสงค์นี้ในปี 2566 และช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 4%

ทั้งนี้ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของจีนเติบโตในระดับ 6-9% ก่อนที่จะลดลงมาล่าสุดอยู่ในระดับ2% จากมาตรการ Zero Covid ของผู้นำจีนที่ต้องการจัดการกับโรคระบาดอย่างเด็ดขาดผ่านมาตรการที่เข้มงวด แม้ว่าชาวจีนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วถึง 92% และเหลือเพียง 8% เท่านั้นที่ยังไม่ได้รับวัคซีน แต่รัฐบาลจีนยังคงประกาศใช้นโยบายนี้ต่อไปเพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่มีการกระจายของเชื้อภายในประเทศ เพราะเพียงการติดเชื้อ 1% ของประชากร ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่น่ากังวล ซึ่งในมุมบวกก็แสดงให้เห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับการควบคุมการแพร่ระบาดมาก

สำหรับภาคการท่องเที่ยว ประเมินว่า ภายหลังการเมืองภายในของจีนสงบนิ่งจะทำให้ชาวจีนกลับมาท่องเที่ยวไทยได้เต็มที่โดยประเมินว่าในปี 2566 หากจีนเปิดการเข้าออกประเทศเป็นปกติ จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคนซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากชาติอื่นที่เข้ามามาก เช่น อินเดีย

ส่วนการลงทุนจากจีนถึงว่าเป็นกลุ่มหลักที่เข้ามาลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) โดยบริษัทรายใหญ่ของจีนหลายแห่งเข้ามาลงทุนในไทย เช่น BYD เข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีบริษัทอื่นของจีนทยอยเข้ามาลงทุนในไทยในหลายธุรกิจ เพื่อเชื่อมโยงกันเป็นซัพพลายเชน รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การแพทย์ ภาคอุตสาหกรรมและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลได้ปรับปรุงกฎระเบียบและอำนวยความสะดวกให้ต่างชาติเพื่อเอื้อต่อการลงทุน เพราะไทยเองเป็นStrategic Area ที่จีนเชื่อมอาเซียนอื่นได้