GULF จ่อปิดดีลโรงไฟฟ้าพันเมกะวัตต์ ชัดเจนสิ้นปีนี้

GULF จ่อปิดดีลโรงไฟฟ้าพันเมกะวัตต์ ชัดเจนสิ้นปีนี้

GULFเผยอยู่ระหว่างศึกษาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ-พลังงานหมุนเวียน ยุโรป-อังกฤษ-สหรัฐ และเอเชีย กำลังผลิตมากกว่า พันเมกะวัตต์ คาดจะมีข้อสรุปและเห็นความชัดเจนภายในปีนี้

 

 นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยถึงแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง 2565  ว่า ความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ยังเป็นไปตามแผน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) เดือนต.ค. หรือโครงการโซลาร์รูฟท็อปภายใต้ GULF1 ที่จะทยอยเปิดดำเนินการให้ครบ 100 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 

นอกจากนี้ GULF ได้เข้าถือหุ้น 50% ร่วมกับ บมจ. กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ใน Gulf Gunkul Corporation ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม จำนวน 3 โครงการ รวมทั้งสิ้น 170 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ GULF สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในงบการเงินตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565 เป็นต้นไป เนื่องจากทั้ง 3 โครงการได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้ว จึงมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 2565 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 

 

รวมทั้งในปัจจุบัน GULF อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าหลายโครงการ ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในยุโรป อังกฤษ สหรัฐ และเอเชีย ซึ่งล้วนเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปและเห็นความชัดเจนภายในปี 2565 

 นางสาวยุพาพิน กล่าวว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,407 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 24,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1-3 (รวม 1,987.5 เมกะวัตต์) ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ปี 2564 และครึ่งปีแรกปี 2565 

ประกอบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP 12 โครงการ ภายใต้กลุ่ม GMP อันเนื่องมาจากราคาขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ และจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 2 ปี 64 ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดย Capacity Factor เฉลี่ยสูงขึ้นจาก 21% ในไตรมาส 2 ปี 64 เป็น 24% ในไตรมาสนี้ 

ทั้งนี้ไตรมาส 2 ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่น (low season) เมื่อเทียบไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น (high season) ซึ่งมี Capacity Factor เฉลี่ยอยู่ระดับ 40-50% นอกจากนี้ บริษํทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH จำนวน 1,172 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 65 

ส่วนกำไรขั้นต้นจากการขายไตรมาส 2 ปี 2565 เท่ากับ 4,303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62%เทียบกับไตรมาส 2 ปี 64 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ไตรมาสนี้เท่ากับ 19.2% ลดลง 24.0% จากไตรมาส 2 ปี 64 โดยปัจจัยหลักมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 238.56 บาท/ล้านบีทียูในไตรมาส 2 ปี 64 เป็น 422.71 บาท/ล้านบีทียูในไตรมาสนี้ หรือเพิ่มขึ้น 77% ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.3230 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง จาก -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.1698 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง

ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ไตรมาส 2 ปี 65 เท่ากับ 3,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,680 ล้านบาท หรือ 120% จากไตรมาส 2 ปี 64 สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลกำไรจากโครงการ GSRC หน่วยที่ 1-3 ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมี.ค. 64 เดือนต.ค. 64 และเดือนมี.ค. 65 ตามลำดับ 

นอกจากนี้ ไตรมาส 2 ปี 65 PTT NGD ซึ่งเป็นโครงการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติผ่านทางท่อที่ GULF ถือหุ้นร่วมกับ ปตท. นั้น ได้บันทึกส่วนแบ่งกำไรเท่ากับ 273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 332% เทียบกับไตรมาส 2 ปี 64 โดยสาเหตุหลักมาจาราคาน้ำมันเตาที่เพิ่มสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก เนื่องจากโครงสร้างรายได้ผูกกับราคาน้ำมันเตา