STGT - (ยัง) ตามหาจุดต่ำสุด (11 ส.ค. 2565)

STGT - (ยัง) ตามหาจุดต่ำสุด (11 ส.ค. 2565)

กำไรสุทธิใน 2Q ลดลง 92% yoy เหลือ 616 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายเฉลี่ย (ASP) รวมถึงปริมาณขายลดลง เรายังคงมุมมองเป็นลบกับแนวโน้มของบริษัทเนื่องจากอุปทานในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจะฉุดให้ ASP ลดลงได้อีก

เรายังคงคำแนะนำ ถือ แต่ปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 15.20 บาท (จากเดิมที่ 25 บาท) เนื่องจากอัตราการเติบโตของอุปทานในตลาดโลกสูงเกินกว่าอุปสงค์ส่งผลให้ ASP ลดลงอย่างมาก

 

กำไรสุทธิใน 2Q ลดลง 92% yoy เหลือ 616 ล้านบาท 

กำไรที่ลดลงใกล้เคียงกับประมาณการของตลาดที่ 633 ล้านบาท โดยกำไรที่ลดลงเป็นเพราะ (1) ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ลดลง และ (2) ปริมาณยอดขายลดลง โดย ASP ใน 2Q ยังคงลดลงอีก 5.5% qoq เหลือ 841 บาทต่อ 1,000 ชิ้น เนื่องจากกำลังการผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในประเทศจีน (ถุงมือ nitrile) ในขณะเดียวกัน ปริมาณยอดขายใน 2Q ลดลง 3.5% qoq เหลือ 7.6 พันล้านชิ้น ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q ลดลงเหลือ 20.3% จาก 24.5% ใน 1Q

 

ผลประกอบการใน 3Q อาจจะดีขึ้น qoq 

เราคาดว่า ASP จะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 800-900 บาทต่อ 1,000 ชิ้นใน 3Q หลังจากที่สะท้อนอุปทานที่เพิ่มเข้าของผู้ผลิตถุงมือ nitrile จากจีนแล้ว ในขณะเดียวกัน ต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มว่าจะลดลงใน 3Q โดยในเดือนกรกฎาคม ต้นทุน butadiene ลดลง 20% mom เหลือ USD1,645/ton และต้นทุน acrylonitrile ลดลง 11% mom เหลือ USD1,645/ton ทั้งนี้ หาก ASP ใน 3Q ทรงตัว qoq เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิน่าจะดีขึ้น 

 

 

แต่ยังมีความเสี่ยงจากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาในปี 2023 

หลังจากที่รวมอุปทานใหม่จากผู้ผลิตหลัก 3 อันดับต้นของโลกแล้ว เราคาดว่าอุปทานในปี 2023 จะเพิ่มขึ้นถึง 20-30% ซึ่งเกินกว่าอุปสงค์มที่คาดว่าจะโตเพียง 15% เท่านั้น 

 

คงคำแนะนำ ถือ ปรับราคาเป้าหมายลงเหลือ 15.20 บาท (จากเดิมที่  25 บาท)

เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี FY22F ลง 55% เหลือ 3.2 พันล้านบาท และปี FY23F ลง 57% เหลือ 3.6 พันล้านบาท หลังจากที่ปรับลดสมมติฐานอัตราการใช้กำลังการผลิตและอัตรากำไรขั้นต้นลงจากเดิม เรายังคงคำแนะนำ ถือ เนื่องจากอัตราการเติบโตของอุปทานในตลาดโลกสูงเกินกว่าอุปสงค์ส่งผลให้ ASP ลดลงอย่างมาก  ทั้งนี้ ราคาเป้าหมายของเราอิงจาก EPS ปี FY23F ที่ 12x