"สุพันธุ์” เบรก กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจ-กระทบฐานราก
!["สุพันธุ์” เบรก กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจ-กระทบฐานราก](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2022/08/xJFEPYI8Z7AS6hIPzz2z.webp?x-image-process=style/LG)
“สุพันธุ์” เบรก “กนง.” ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ระบุ จะซ้ำเติมเศรษฐกิจ สร้างภาระประชาชน ธุรกิจ ดันต้นทุนพุ่ง ส่วนกลุ่มฐานรากโดนผลกระทบหนัก แนะ รัฐบาล เลิกคิดแต่การแจกเงินอย่างเดียว ควรหาวิธีให้คนไทยสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ (10 ส.ค.) ส่วนตัวมองว่า กนง. ไม่ควรขึ้น และควรชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปก่อน จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว หากเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยเวลานี้ อาจทำให้ทุกอย่างชะลอตัวลง และอาจเป็นการซ้ำเติมหรือสร้างภาระให้กับประชาชน ภาคธุรกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวด้วย
อย่างไรก็ตาม พบว่าปัจจุบันหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 90% ผลกระทบจะเกิดวงใหญ่ ทั้งคนกู้บ้าน กู้รถ รวมถึงคนที่กำลังทำธุรกิจทั้งหมด จะเจออัตราดอกเบี้ยที่แพงขึ้น คนที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่ม ก็จะต้องเจอต้นทุนที่แพงและอาจทำให้ชะลอการลงทุนออกไปอีก โดยปัจจัยทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมแย่ลงไปด้วย อีกทั้ง กลุ่มคนตัวเล็กที่เป็นฐานรากทั้งหลายจะแย่ไปอีก ดังนั้น จึงไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยอย่างยิ่ง เพราะการไม่ขึ้นจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของไทย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มีการพูดถึงการขึ้นดอกเบี้ยด้วยปัจจัยต่าง ๆ อาทิ
1. ปรับขึ้นเพราะกลัวเงินทุนไหลออก
2.อัตราแลกเปลี่ยนจะอ่อนตัวมากไป
3. ห่วงเงินเฟ้อสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้วขณะนี้ ทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะวันนี้เงินทุนไม่ได้ไหลออกนอกประเทศ ดัชนีหุ้นเริ่มปรับตัวสูงขึ้น การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเงินเฟ้อที่น่าห่วงก็ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา และอัตราแลกเปลี่ยนกลับมาปรับตัวแข็งค่าขึ้นจาก 36 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ สะท้อนว่าเงินทุนไม่ได้ไหลออก
อย่างไรก็ตาม จากการที่หลายประเทศได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนหน้านี้นั้น เป็นผลจากเงินเฟ้อสูงค่อนข้างมาก จากดีมานด์ หรือความต้องการสูง การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับประเทศไทยเกิดจากราคาน้ำมันเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากความต้องการใช้จ่ายที่สูง และวันนี้ราคาน้ำมันเริ่มชะลอตัวลงด้วย และมีโอกาสที่เงินเฟ้อจะทรงตัวได้ หากราคาน้ำมันชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในระยะต่อไป
“ในวันนี้ยังมีเหตุการณ์ข้างหน้าที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะสถานการณ์จีนและสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอน ภายหลังจากที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ไปเยือนไต้หวัน ส่งผลให้เกิดการคว่ำบาตร และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ซึ่งหากพิจารณาจากปัจจัยดังกล่าว อาจทำให้เราไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเชื่อว่าหลายประเทศอาจทบทวนการพิจารณาการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือชะลอการขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเศรษฐกิจเริ่มถดถอยลง” นายสุพันธุ์ กล่าว
นายสุพันธุ์ กล่าวว่า ทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยนั้น หากจะขึ้นจริงๆ จะต้องพิจารณา 3 ปัจจัย คือ
1. เมื่อเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้น
2. ค่าเงินเริ่มกลับไปอ่อนค่าทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์
3.เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน จีดีพีกลับมาขยายตัวได้ 3-5% รวมถึงเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวชัดเจน เป็นต้น
นอกจากนี้ การบูทเศรษฐกิจจะต้องทำตั้งแต่ข้างล่าง รัฐบาลต้องดูว่า เวลานี้สภาพคล่องข้างล่างแย่มาก จึงต้องหาทางมาช่วย นอกจากการเปิดการท่องเที่ยว การเปิดการค้าชายแดนทุกด่านให้กลับมาปกติที่สุด รวมถึงการดูหนี้เงินกู้ทั้งหลายของภาคธุรกิจ นอกจากการพักชำระหนี้ ควรที่จะเข้าไปเติมเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ด้วย เพื่อให้เปิดธุรกิจได้ ปรับโครงสร้างให้กลับมาแข็งแรง จะช่วยให้เศรษฐกิจระดับรากหญ้ากลับมาแข็งแรง และเกิดการกลับมาจับจ่ายอีกครั้ง แทนการแจกเงิน และต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้กลุ่มรากหญ้าหาเงินได้เพิ่มขึ้น คือสิ่งที่ดีที่สุด