บล.กสิกรไทย มองเงินเฟ้อสหรัฐผ่านจุดพีคแล้ว หนุนตลาดหุ้นฟื้นในไตรมาส 4 นี้

บล.กสิกรไทย มองเงินเฟ้อสหรัฐผ่านจุดพีคแล้ว หนุนตลาดหุ้นฟื้นในไตรมาส 4 นี้

บล.กสิกรไทย มองเงินเฟ้อสหรัฐได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว โดยจะค่อยๆ ลดลงตามราคาน้ำมันและที่อยู่อาศัย ทำให้เฟดอาจลดดอกเบี้ยในปี 2566 ประเมินตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นในไตรมาส 4 นี้ แนะนำ 4 กลุ่มน่าสะสม ได้แก่ ธีม Anticommodity, กลุ่ม Defensive, หุ้น Growth และกลุ่มท่องเที่ยว

บล.กสิกรไทย มองว่าเงินเฟ้อสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หลังเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ออกมา 9.1%YoY แม้ว่าในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 เงินเฟ้อยังทรงตัวสูง แต่จะค่อยๆ ลงตามทิศทางพลังงานที่ปรับตัวลดลง  และไตรมาสที่ 4 จะลดลงต่อเนื่องจากฝั่งภาคอสังหาฯ ที่ชะลอลง   

รวมถึงมุมมองต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้ง Fed Fund Futures , Eurodollar ที่เริ่มปรับมุมมองโอกาสในปี 2566 อาจจะเริ่มเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง  แม้ในการประชุมรอบถัดไปรอบ 27 ก.ค. นี้ ตลาดได้ Price in การขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ไปแล้ว และคาดมีโอกาสจะขึ้นถึง 1% 

โดยรวมแม้มุมมองเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มเห็นว่าปีถัดไปจะไม่ Hawkish เงินเฟ้อเริ่มลดลง แต่ KS ประเมินว่าตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 3 จะยังไม่กลับเป็นขาขึ้น คาดจะไปฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ 

มองว่าดัชนีช่วงนี้จะเป็นการแกว่งตัว Sideway เนื่องจากจะยังถูกกดดันจากภาวะความกังวล Recession 

แนะนำทยอยสะสมลงทุนในกลุ่มดังนี้ 

1. กลุ่ม Anticommodity อาทิ CBG, OSP, RBF, CPF, GFPT, TOA และ PTG

2. หุ้น Defensive อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC, BGRIM, GULF กลุ่มโรงพยาบาล BDMS  

3. กลุ่ม Growth แนะนำกลุ่ม Tech Consult อาทิ BE8, BBIK, IIG  

4. กลุ่มท่องเที่ยว แนะนำโรงแรม CENTEL, SHR 

สำหรับปัจจัยในประเทศต้องติดตามการรายงานงบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในสัปดาห์หน้า และทิศทางค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ ล่าสุดยังอ่อนค่าต่อเนื่องอยู่ที่ 36.5 บาท หรืออ่อนค่าราว 10% นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) ประเมินเป็นแรงกดดันต่อหุ้นขนาดใหญ่ อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล 19-22 ก.ค. นี้ 

 

ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทย SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,525-1,585 จุด หุ้นแนะนำได้แก่  

- GULF (ราคาพื้นฐาน 48.00 บาท) เป็นหุ้น Defensive ที่สามารถ hedge ความกังวล Recession และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่กำลังผ่านจุดสูงสุดในไตรมาส 3 ปี 2565 ไปพร้อมกับเงินเฟ้อด้วย ล่าสุด Thai10Y bond yield เหลือ 2.6% ลงจาก 3.1% นับจากกลางเดือน มิ.ย. 2565

และแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 ปี 2565 จะเติบโตขึ้น QoQ เนื่องจาก กกพ. ปรับขึ้นค่า Ft รอบที่ 2 ของปี 2565 (เดือนพ.ค.-ส.ค.2565) ที่ 0.234 บาท/หน่วย เป็น 0.248 บาท/หน่วย ซึ่งคาดจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าของ PEA เพิ่มขึ้น 6% เป็น 4.00 บาท/หน่วย และล่าสุด กกพ.เผยว่าค่า Ft งวดก.ย.-ธ.ค. 2565 อาจปรับขึ้น 90-100 สตางค์ต่อหน่วย

- PTG (ราคาพื้นฐาน 17.00 บาท) คาดกำไรงวดไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ 400 ล้านบาท เติบโตสูง 150% QoQ ได้แรงหนุนจาก GPM/ลิตร ที่สูงและวอลุ่มขายน้ำมันที่สูงคาด 7%QoQ หนุน SG&A/ลิตร ปรับตัวลดลง 

ประเมินกำไรครึ่งหลังปี 2565 จะเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก จากการเดินหน้าเปิดเมือง โดยราคาหุ้น PTG ปัจจุบัน Valuation ค่อนข้างถูกสะท้อนจากPBV ปี 2566 อยู่ที่ 2.29x ต่ำกว่า -1SD สวนทางผลประกอบการที่กลับมาภาวะปกติ และได้ Sentiment บวกจากราคาพลังงานที่ลดลง 

ประเด็นเศรษฐกิจที่น่าติดตาม

- 18 ก.ค. : ดัชนีตลาดการเคหะจากสมาคมผู้สร้างบ้านสหรัฐ (NAHB) ( ก.ค.)

- 19 ก.ค. : ยอดซื้อพันธบัตรสหรัฐสุทธิของต่างชาติ (พ.ค.), รายงานจำนวนใบอนุญาตก่อสร้างสหรัฐ (มิ.ย.) ตลาดคาด 1.69 ล้านหลัง, ดัชนีราคาผู้บริโภคของยุโรป (CPI) (ปีต่อปี) (มิ.ย.) ตลาดคาดทรงตัว 8.6%YoY  และ 0.8%MoM

- 20 ก.ค. : บัญชีเดินสะพัดของยุโรป (Current Account) (พ.ค.), ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐ (Existing Home Sales) (มิ.ย.) ตลาดคาด 5.4 ล้านหลัง, สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ

- 21 ก.ค. : การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตลาดคาดยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสถาบันการเงินที่ฝากไว้กับธนาคารกลาง (ก.ค.) ที่ -0.5%, ดัชนีภาวะธุรกิจจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟีย (ก.ค.)

- 22 ก.ค. : ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ  (ก.ค.), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ( ก.ค.) ของยุโรป