แรงกดดันการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จำกัดการเคลื่อนไหวของภาพรวม

แรงกดดันการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จำกัดการเคลื่อนไหวของภาพรวม

ภาพรวมสินทรัพย์เสี่ยงถูกกดดันจากการแข็งค่าของ USD และนักลงทุนรอดูผลประกอบการ ตลาดเริ่มเปลี่ยนจากความกังวลเงินเฟ้อ (Inflation) มาสู่ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะที่อยู่ในสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งหนุนให้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ยิ่งแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม เราเชื่อสถานการณ์ดังกล่าวจะดำเนินไปจนกระทั่งความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตผ่อนคลายลง หรือตลาดได้รับรู้เกี่ยวกับการปรับประมาณการกำไร (Earnings downgraded) เข้าไปในราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องแล้ว 

 

กลุ่มธนาคารเริ่มรายงานผลประกอบการ ภาพรวมกลยุทธ์เน้นทยอยสะสมหลังประกาศงบ TISCO รายงานกำไร 2Q65 ที่ 1,848 ล้านบาท +3% QoQ, +11 YoY ดีกว่าที่เราและ Concensus คาดราว 9% และ 6% ตามลำดับจากการตั้งสำรองที่ต่ำกว่าคาด แนวโน้มสำคัญคือ credit cost เริ่มทยอยปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลงอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพลูกหนี้ ทำให้เราประเมินตลาดมีแนวโน้มระมัดระวังต่อผลประกอบการหุ้นกลุ่มการเงิน ทำให้ในภาพกลยุทธ์เราเน้นรอทยอยสะสมหรือซื้อหลังการประกาศผลประกอบการแล้ว //สำหรับ SCB ราคาปรับลดลงแรงกว่ากลุ่ม ซึ่งเราคาดเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการตั้งสำรองที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิตอลที่อาจกระทบต่อผลประกอบการ ดังนั้นควรรอซื้อหรือถัวหลังเห็นผลประกอบการแล้วเช่นกัน

 


 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR, MBK 4) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, GFPT, TFG, TU, KSL, KTIS, KBS, BIS, ASIAN  5) หุ้นได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน BABA80, TENCENT80, CHINA, STAR5001

 

ภาพรวมกลยุทธ์: ภาพใหญ่ดัชนีมีโอกาสซึมลงจากการทยอยปรับประมาณการ ช่วงสั้นเม็ดเงินมีโอกาสเข้าพักหุ้นปลอดภัย (สื่อสาร ไฟฟ้า การแพทย์) ระหว่างทยอยสะสมหรือรอจุดซื้อในหุ้นที่อาจถูกขายทำกำไรจากความกังวลการระบาดโควิดรอบใหม่ รวมถึงโอกาสเกิดล็อคดาวน์รอบใหม่ที่จีน 1) กลุ่มหุ้นเปิดเมือง (ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการทยอยสะสมและซื้อกลับหลังแรงทำกำไรรอบนี้ของเรา 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน (DR และ ETF อิงหุ้นจีน) //หุ้นแนะนำ:  CPF*, RATCH*, OR*, PTG*

แนวรับ: 1,520 / แนวต้าน : 1,550 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

จีนอาจยกเลิกแบนถ่านหินออสเตรเลีย ผลการศึกษาคาดจะมีข้อเสนอให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามนำเข้าถ่านหินออสเตรเลีย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนพลังงานเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีก่อน เรามองเป็นบวกต่อแรงเก็งกำไรหุ้นถ่านหิน

สหรัฐเผยดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 1.1% สูงกว่าคาด - ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 0.8% หลังจากปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ค.

สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด - เพิ่มขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 244,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2564 สูงกว่าคาดที่ 234,000 ราย และสูงกว่าระดับ 230,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน 
หุ้นแบงก์ใหญ่ของสหรัฐฯงบออกมาต่ำกว่าคาด

มอร์แกน สแตนลีย์ (MS) – กำไร 2.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.39 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าระดับ 3.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.85 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และต่ำกว่าคาดที่ 1.53 ดอลลาร์/หุ้น 

เจพีมอร์แกน เชส JPM) - กำไร 8.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.76 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าระดับ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.78 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และต่ำกว่าคาดที่ 2.88 ดอลลาร์/หุ้น 

ยุโรปปรับลดคาดการณ์ศก.ยูโรโซน – จะโต 2.6% ในปีนี้ ลดลงเล็กน้อยจากที่เคยคาดไว้โต 2.7% แต่ในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4% จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัว 2.3%

JMART-GUNKUL สวอปหุ้น รุกค้าปลีกพลังงานทดแทน – ธุรกรรมแลกหุ้นมูลค่า 500 ล้านบาท มั่นใจบริษัทร่วมทุน JGS Synergy Power สู่เมกะเทรนด์ผู้นำค้าปลีกสิ้นค้าพลังงานทดแทน คาดปีนี้ยอดขายตามเป้า 150 ล้านบาท หนุนเข้าตลาดอีก 3 ปี 

หุ้นที่มีโอกาสเข้าเกณฑ์ Cash Balance – ได้แก่ KWI, D

 

ประเด็นติดตาม: 13-20 ก.ค. – รายงานงบกลุ่มแบงก์ / 15 ก.ค. - US Retail Sales / 19 ก.ค. – EU CPI / 20 ก.ค. – US Existing Home Sales / 21 ก.ค. - ECB Interest Rate Decision

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)