อีอีซี เปิดคณะทูตกว่า 10 ประเทศ เติมเงินลงทุนตามแผน 2.2 ล้านล้าน ใน 5 ปี

อีอีซี เปิดคณะทูตกว่า 10 ประเทศ เติมเงินลงทุนตามแผน 2.2 ล้านล้าน ใน 5 ปี

สกพอ. จัดเวทีคุยคณะทูตกว่า 10 ประเทศ ชูความพร้อมบุคคลากรและโครงสร้างพื้นฐานโอกาสลงทุนอีอีซี ประตูสู่การค้าอาเซียน

วานนี้ (8 ก.ค. 2565) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) ร่วมกับ Diplomatic Council จัดสัมมนาในหัวข้อ "A High-level Briefing and Dialogue Session on Eastern Economic Corridor (EEC)" สร้างความเชื่อมั่นและความก้าวหน้าโครงการอีอีซี ให้กับกลุ่มนักการทูตและผู้นำนักธุรกิจจากหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย อาทิ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ บราซิล อียิปต์กัมพูชา เป็นต้น รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นต่อแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความร่วมมือและดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกพอ. กล่าวว่า งานสัมมนาในวันนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญของ อีอีซี ในการนำเสนอความก้าวหน้าและความสำเร็จการพัฒนาโครงการอีอีซี ตลอด 4 ปีที่ผ่านมารวมถึงประกาศแผนขับเคลื่อนโครงการต่างๆในระยะต่อไป โดยเน้นลงทุน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ใน 4 แกนหลักธุรกิจใหม่ศักยภาพสูง อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ดิจิทัล การแพทย์สมัยใหม่ และโลจิสติกส์ ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) 

รวมทั้งโครงการพัฒนาเมืองใหม่ (Smart city) ในอนาคต ซึ่งจะทำให้นักลงทุนทราบถึงความสำคัญของพื้นที่ อีอีซี ศูนย์กลางการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลแห่งอนาคต และเป็นเมืองอัจฉริยะ โดยใช้หลักคิดการพัฒนาเมืองที่เติบโตอย่างยั่งยืน มีส่วนร่วม และพึ่งพาตนเองได้ 

โดยนำเสนอประเด็นสำคัญ 3 หัวข้อ ได้แก่ 1.) 5G and Digital Transformation in EEC 2.) Bio-Green-Circular Economy and EECi Development และ 3.) Human Resource Development and Education in EEC ตลอดจนร่วมตอบคำถามและแลกเปลี่ยนความเห็น

กับผู้เข้าร่วมประชุม ต่อแนวทางการมีส่วนร่วม และร่วมกันหารือเพื่อผลักดันโครงการต่างๆ ของอีอีซี

ทั้งนี้ เพื่อดึงดูดการลงทุนฐานนวัตกรรมขั้นสูง และจูงใจนักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่พื้นที่ อีอีซี ให้สำเร็จตามเป้าหมายแผนลงทุนระยะ 2 ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2565 – 2569) ที่จะขับเคลื่อนต่อยอด เร่งรัดการลงทุนนวัตกรรมขั้นสูง เพิ่มความสามารถการแข่งขันของไทย วงเงินลงทุนรวม 2.2 ล้านล้านบาท เป็นกลไกหลักผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพ 4.5 – 5% ต่อปี และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19