ภาพรวมถูกกดดัน แต่คาดจะเริ่มเห็นแรงซื้อกลับในบางกลุ่ม 

ภาพรวมถูกกดดัน แต่คาดจะเริ่มเห็นแรงซื้อกลับในบางกลุ่ม 

นักลงทุนเริ่มมองถึงการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด รายงานการประชุมเฟดที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุม 27-28 ก.ค. โดยเฟดยังคงยืนยันความจำเป็นของการดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อรับมือเงินเฟ้อ

แม้ว่าอาจทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยขึ้นระยะหนึ่งก็ตาม  ขณะที่มีความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งนี้รายงานการประชุมไม่ได้มีข้อมูลใหม่ หากเราพิจารณามุมมองของตลาดที่มีต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยจะเห็นว่าตลาดประเมินเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยอีกราว 1.75%-2.00% ไปจนถึงปลายปี ก่อนที่น่าจะเริ่มเห็นดอกเบี้ยทรงตัวในช่วงครึ่งแรกปี 2566 และอาจเริ่มเห็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงราว พ.ค.66 เป็นต้นไป ทั้งนี้ช่วงสั้นภาพรวมดัชนี SET Index อาจได้รับแรงกดดันที่ทำให้การปรับขึ้นมีข้อจำกัดจาก 1) การปรับลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน 2) การ Rebalancing หลังหุ้นไทยเคลื่อนไหวเด่นกว่า (Outperform) หุ้นโลก (-6% vs -15 ถึง -20%) อย่างไรก็ตามคาดกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนมีการถือครองต่ำ (Under-owned) จะเริ่มเป็นเป้าหมายของการซื้อกลับ/พักเงิน
 

เน้นเลือกลงทุนรายตัว หุ้นปลอดภัยคาดทรงตัวดี ขณะที่หุ้นเปิดเมืองเป็นเป้าหมายการซื้อกลับหลังแรงขายทำกำไรรอบนี้ คาดกลุ่มที่จะทรงตัวได้ดีถึงมีโอกาสปรับขึ้นในรอบนี้ ได้แก่ กลุ่มหุ้นปลอดภัยและอาหาร ได้แก่ สื่อสาร, โรงไฟฟ้า และโรงพยาบาล โดยหุ้นที่เราชอบได้แก่ ADVANC, INTUCH, BGRIM, GPSC, BCH, CHG, RAM, BDMS เป็นต้น สำหรับกลุ่มเปิดเมือง ท่องเที่ยว และห้างสรรพสินค้า ช่วงสั้นอาจเผชิญแรงขายทำกำไรจากความกังวลการระบาดของโควิดระลอกใหม่ แต่เรามองเป็นเป้าหมายในการทยอยซื้อแบบตั้งรับ โดยหุ้นที่เราชอบ ได้แก่ SPA, VRANDA, MINT, ERW, CENTEL, MBK, CPN, CRC เป็นต้น

 

 

 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR 4) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, GFPT, TFG, TU, KSL, KTIS, KBS, BIS, ASIAN  5) หุ้นได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน BABA80, TENCENT80, CHINA

ภาพรวมกลยุทธ์: มีโอกาสซึมลงสู่ 1,480-1,520 จุด คาดเห็นการโยกเงินเข้าสู่หุ้นปลอดภัย อาทิ สื่อสาร ไฟฟ้า การแพทย์ ขณะที่ช่วงสั้นหุ้นเปิดเมืองอาจเผชิญแรงขายทำกำไร แต่ยังคงเป็นเป้าหมายการซื้อกลับหลังแรงทำกำไรรอบนี้ของเรา ช่วงสั้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน (DR และ ETF อิงหุ้นจีน) ยังมีแนวโน้มโดดเด่น //หุ้นแนะนำ:  ADVANC*, CPF*, MAJOR*

แนวรับ: 1,480-1,520 / แนวต้าน : 1,550-1,565 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

สหรัฐเผยตัวเลขเปิดรับสมัครงานลดลงสู่ 11.3 ล้านตำแหน่ง - ผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 427,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 11.3 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. แต่สูงกว่าคาดที่ระดับ 11.0 ล้านตำแหน่ง

ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐร่วงต่ำสุดรอบ 2 ปี - ปรับตัวลงสู่ระดับ 55.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี แต่สูงกว่าคาดที่ระดับ 54.3

ศาลรัสเซียสั่งระงับส่งน้ำมันผ่านท่อส่ง "แคสเปียน ไปป์ไลน์" ชั่วคราว - ระงับการดำเนินการเป็นเวลา 30 วัน ซึ่งสร้างความวิตกด้านอุปทานน้ำมันทั่วโลก

"ซิตี้กรุ๊ป" คาดราคาน้ำมันทรุดแตะ $65 ปีนี้/$45 ปีหน้า หากเศรษฐกิจถดถอย - คาดราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะทรุดตัวลงแตะระดับ 65 ดอลลาร์/บาร์เรลในปลายปีนี้ และดิ่งลงสู่ 45 ดอลลาร์ในปลายปีหน้า หากเศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะถดถอย 

ทองฟิวเจอร์ลงมาเกือบ 30 ดอลลาร์ หลุด $1,740 – จากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวด้วยการขึ้นดอกเบี้ย

ททท.จ่อชง 'ศบศ.' เว้น 'ค่าวีซ่า' – ทั้งค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยว - ค่าวีซ่าหน้าด่าน(VoA) พร้อมขยายเวลาพำนักสูงสุด 45 วัน ถึง 31 ธ.ค.65 ขณะที่สมาคมโรงแรมไทย เผยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินอัตรา การเข้าพักช่วงไตรมาส 4/65 มากกว่า 50% โดยเฉพาะโรงแรมใหญ่ ชี้ปัจจัย "เงินเฟ้อ" ทั่วโลกกดดันการฟื้นตัว

BLESS เริ่มซื้อขายวันนี้ 7 ก.ค. - บมจ. เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่พักอาศัยเพื่อขาย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ราคา IPO 1.40 บาท

หุ้นที่มีโอกาสเข้าเกณฑ์ Cash Balance - ได้แก่ MONO

 

ปiะเด็นติดตาม: 8 ก.ค. – US Nonfarm Payrolls, US Participation Rate, US Unemployment Rate, ECB President Lagarde Speaks / 13 ก.ค. - US CPI / 13-20 ก.ค. – รายงานงบกลุ่มแบงก์ / 14 ก.ค. – US PPI / 15 ก.ค. - US Retail Sales

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)