นักเศรษฐศาสตร์ หวั่น ขึ้นดอกเบี้ยช้า กระทบสองเด้ง บาทอ่อน - นำเข้าต้นทุนพุ่ง

นักเศรษฐศาสตร์ หวั่น ขึ้นดอกเบี้ยช้า กระทบสองเด้ง บาทอ่อน - นำเข้าต้นทุนพุ่ง

นักเศรษฐศาสตร์ ไม่เซอร์ไพรส์ เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% แต่เป็นแรงกดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงินขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น “พิพัฒน์” ชี้หากชักช้า เจอ 2 เด้ง ทั้ง“ บาทอ่อนแรง - ต้นทุนนำเข้ากระฉูด

      การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 15 มิ.ย.ตามเวลาสหรัฐ มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% จาก 0.75-1.00% เป็น 1.50-1.75% เพื่อสกัดการเร่งตัวของเงินเฟ้อ

     นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ 0.75% ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด ทำให้ ณ สิ้นปีดอกเบี้ยของเฟดน่าจะขึ้นไปแตะระดับ 3%

       ดังนั้นโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งที่เหลือของปีนี้ จึงมีความเป็นไปได้ เพราะไทยเจอแรงกดดันเงินเฟ้อเช่นเดียวกันเฟด

      และคาดว่าระยะถัดไปมีโอกาสที่จะเห็นเงินเฟ้อแตะระดับ 10% ดังนั้นหาก กนง.ไม่ทำอะไร โอกาสที่จะเห็นไทย เหมือนญี่ปุ่น จะเผชิญปัญหา 2 ด้านคือ ค่าเงินอ่อนค่ารุนแรง ทำให้ผู้นำเข้าต้องมีภาระต้นทุนสูงขึ้น  

     “วันนี้แบงก์ชาติไม่ทำอะไรไม่ได้ ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อลดปัญหาเงินเฟ้อที่เจอเหมือนกันกับสหรัฐ วันนี้สิ่งที่กังวลคือ หากเงินเฟ้อขึ้นสูงต่อเนื่อง อาจทำให้เงินเฟ้อหลุดกรอบไปมาก อาจส่งผลให้ระบบ ต้องปรับต้นทุนสินค้า ค่าจ้างขึ้นแรง เพื่อตามเงินเฟ้อ ดังนั้นหากแบงก์ชาติไม่ทำอะไร อันตราย แบงก์ชาติอาจต้องเจอแรงกดดันว่าทำอะไรอยู่”
 

      ขณะเดียวกันที่กังวลถัดมาคือ หลังจากขึ้นดอกเบี้ย การดูแลกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่ได้รับผลกระทบกลุ่มนี้อย่างไร เพราะปัจจุบันเจอผลกระทบจากโควิด-19 อยู่แล้ว

      ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของแบงก์ชาติอีกด้านคือ ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว มีมาตรการอะไรเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง ทำให้ได้รับผลกระทบน้อยลง

      อย่างไรก็ตามการคาดการณ์ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 3 ครั้ง ถือว่ามากกว่าที่ประเมินไว้ตอนต้นที่คาด 2 ครั้ง เท่านั้น

ลุ้น กนง.นัดพิเศษ ก.ค.

     นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ 0.75% ไม่สำคัญเท่า การขึ้นที่ระดับ 0.75% ถือว่าเป็นระดับที่ขึ้นค่อนข้างมาก และหากมองไปข้างหน้า ยังเห็นการขึ้นต่อเนื่อง และยังเปิดรูมขึ้นได้อีก 0.75% ในครั้งถัดไป 

    ดังนั้นประเมินว่า ในมุมการดำเนินนโยบายการเงินของไทย อาจมีโอกาสที่จะเห็นการประชุมนัดพิเศษ ก่อนถึงรอบประชุม 10 ส.ค. เพราะระหว่างที่จะมีการประชุม กนง.อีกครั้งนั้น ในเดือนก.ค. เป็นช่วงที่เฟดมีประชุมที่อาจขึ้นดอกเบี้ยไปอีก 0.75% และราคาน้ำมันอาจสูงขึ้น เงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นหลายองค์ประกอบ อาจทำให้ กนง.อาจมีการประชุมนัดพิเศษ ในเดือนก.ค.นี้ได้

    “เรามองว่ามีอีกหลายประเด็นที่มีโอกาสเกิดขึ้น ก่อนประชุม กนง. ระหว่างที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกในก.ค.นี้ ดอกเบี้ยเฟดอาจจะไปไกลมากขึ้น น้ำมัน หรือเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้น ดังนั้นอาจเห็น กนง.ขึ้นดอกเบี้ยครึ่งทาง ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ยติดกันใน 3 การประชุมครั้งที่เหลือปีนี้ เพราะหากทิ้งจังหวะนาน เวลาขึ้น อาจต้องขึ้นแรง”

กรุงไทยจ่อปรับจีดีพีขึ้นเกิน3%

   นายพัชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ 0.75% ถือว่าไม่เซอร์ไพรส์ตลาด เพราะตลาดมองว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยแรงอยู่แล้ว

    ขณะที่ กนง.คาดว่า โอกาสที่จะเห็นขึ้นดอกเบี้ยคือ รอบการประชุม กนง.ใน 10 ส.ค. ซึ่งกนง.น่าจะรอได้ ไม่จำเป็นต้องประชุดนัดพิเศษ

    ดังนั้นประเมินว่า กนง.เดือนส.ค. นี้มีโอกาสที่ กนง.จะขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.25% ถึง 70% เพราะการส่งสัญญาณ กนง.ชัดเจน ว่าเศรษฐกิจมีภาพที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นทำให้ กนง.มีการปรับจีดีพีไปสู่ระดับสูงสุด หากเทียบกับประมาณการของภาคเอกชน

   ขณะที่คาดว่า กนง.น่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีกครั้งในเดือนก.ย. ที่ 0.25% จากภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

    ขณะที่มองว่าเงินทุนไหลออก ไม่น่าเป็นปัจจัยหลัก ที่กดดันทำให้ กนง.ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย เพราะวันนี้ยังไม่เห็นการไหลออกอย่างรุนแรง

   อย่างไรก็ตาม ล่าสุดธนาคารอยู่ระหว่างการปรับประมาณการจีดีพีเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ประเมินขยายตัว 3% จากตัวเลขท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น

ห่วงเงินเฟ้อขึ้นแรงหนุนธุรกิจต้นทุนพุ่ง

    นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์ เศรษฐกิจทีทีบี (ttb Analytics) กล่าวว่า สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด 0.75% ถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้ปัจจุบันเงินบาทไม่ได้อ่อนค่า

   แต่ระยะถัดไป คาดว่าดอลลาร์ยังมีทิศทางแข็งค่า จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดต่อเนื่อง ดังนั้นมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่าได้ต่อเนื่อง

    ทั้งนี้คาดการณ์ว่า กนง.น่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ทั้ง 3 ครั้งของการประชุม ที่ 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอยู่ที่ 1-1.25% ได้ในช่วงปลายปี

    ขณะเดียวกันโอกาสที่จะเห็น กนง.ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดก็มีโอกาสเป็นไปได้ หากเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่กระทบเป็นวงกว้าง

    อย่างไรก็ตาม จากเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น ได้ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องแบกรับต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น ที่ยังไม่ส่งผ่านไปสู่ผู้บริโภค เพราะหากดูเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 7% แต่เงินเฟ้อของผู้ผลิตเพิ่มขึ้นถึง 13% จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นสูง มาจากน้ำมัน

   โดยเฉพาะต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นเกือบ 70% หากเทียบกับก่อนโควิด-19 เหล็กขึ้นมาแล้ว 17% และสินค้าเกษตรที่ต้นทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นดัง 10%

    ทั้งนี้หากดูต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ พบว่า ขึ้นมากที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตพลังงาน 25.8% ขนส่งโลจิสติกส์ 15.2% ประมง 13.2% โรงสีข้าว ผู้ส่งออกข้าว 7.3% ผู้รับเหมา 5.3% ร้านค้าปลีกค้าส่ง บริโภค 3.5% ฯลฯ เหล่านี้ยังไม่รวมกับต้นทุนที่มาจากค่าแรง

    นอกจากนี้ ต้นทุนดังกล่าว ยังไม่รวมถึงต้นทุนจากดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเหล่านี้มองว่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอีมากกว่าธุรกิจรายใหญ่ จากการพึ่งพาสินเชื่อหมุนเวียน ที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว

ซีไอเอ็มบีไทยชี้ไทยจ่อขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดแตะ1.50%

    นายภิสัก อึ้งถาวร ผู้บริหารฝ่ายวิจัยตลาดเงิน และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองว่าประเทศไทยยังอยู่ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นรอบนี้ terminal rate จุดสูงสุดของการขึ้นดอกเบี้ย ของไทยจะอยู่ที่ระดับ 1.50% สำหรับดอกเบี้ยขาขึ้นรอบนี้

    ขณะที่ ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในระยะถัดไปนั้น คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งจะไม่สูงเท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในเรื่องปัญหาประชากรผู้สูงอายุ ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับที่สูงกว่า 90% ต่อจีดีพี และปัญหาการกระจายรายได้

     ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าในอดีตนั้น อาจส่งผลให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยทำได้ไม่มากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา

      ด้าน กลยุทธ์ลงทุน แนะปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนระยะสั้นประมาณ 2-3 ปี ผลิตภัณฑ์ประเภทคุ้มครองเงินต้น แบบมีการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ ลดความเสี่ยงจากตลาดที่มีความผันผวนสูง แต่ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์