บลจ.บีแคป มองตลาดครึ่งหลังปี 65 ยังผันผวน แนะกระจายเสี่ยงในหุ้นจีน - ไทย

บลจ.บีแคป มองตลาดครึ่งหลังปี 65 ยังผันผวน แนะกระจายเสี่ยงในหุ้นจีน - ไทย

บลจ.บีแคป มองหุ้นครึ่งหลังปี 65 ยังผันผวน ความเสี่ยงกดดันเศรษฐกิจ - ผลประกอบการ บจ.- เฟดขึ้นดอกเบี้ยคุมเงินเฟ้อ และลดวงเงินคิวอี แนะกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลาย โดยชูตลาดหุ้นจีน และไทย มีความน่าสนใจเหตุปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศน้อย

นายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP  กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นสหรัฐ จะปรับขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทีมผู้จัดการกองทุนมองว่าเป็นเพียงการรีบาวด์หรือปรับขึ้นช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากทีมผู้จัดการกองทุน BCAP ประเมินว่าในปี 2022 ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2.50 - 2.75%  หากเป็นการขับรถถือว่าคนขับกำลังกดแป้นเบรกอย่างหนัก ซึ่งจะเป็นผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลงในระยะต่อไป

ทีมผู้จัดการกองทุน มองว่าการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของ Fed เพื่อเข้าควบคุมเงินเฟ้อ สืบเนื่องจากมุมมองที่ผิดพลาดในช่วงปีที่ผ่านมา ที่ประเมินว่าเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว จนละเลยที่จะควบคุมเงินเฟ้อตั้งแต่ช่วงปี 2021 แม้ว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือนมี.ค. และจะค่อยๆ ปรับลดลงในช่วงที่เหลือของปี

แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า Fed คงจะยืนยันขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บกระสุนหรือเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในอนาคต อีกประเด็นที่ BCAP จับตาอย่างใกล้ชิดคือการถอนสภาพคล่องออกจากระบบ หรือการทำ Quantitative Tightening (QT)

นายธนาวุฒิ กล่าวว่า การทำ QT ของสหรัฐ จะเริ่มต้นในเดือนมิ.ย. นี้ในจำนวน 9.5 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน ทีมผู้จัดการกองทุนประเมินว่าหาก Fed ลดปริมาณเงินดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2024 จะส่งผลต่องบดุลต่อ GDP ของธนาคารกลางสหรัฐ ให้ลดลงจาก 37% ในปัจจุบันเหลือเพียง 20% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมี 2 เรื่องหลักๆ คือ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และ 2) แรงสนับสนุนในการออมเงิน/การลงทุนในตลาดการเงินที่จะลดลง

โดยฝ่ายวิจัยมองว่าช่วงต่อไปตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นจะลดลงเทียบกับช่วงที่ Fed อัดฉีดสภาพคล่องหลังวิกฤติการเงินในปี 2008 ซึ่งการลงทุนอาจจะใช้ความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงครึ่งหลังของปีฝ่ายวิจัยแนะนำให้เน้นการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศที่มีมูลค่าพื้นฐานถูก ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราการเติบโตดี และ/หรือ มีความเสี่ยงต่อการเมืองระหว่างประเทศจำกัด คือประเทศจีน และไทย

 

 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์