กลยุทธ์การลงทุน เตรียมตัวสำหรับภาวะตลาดที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

กลยุทธ์การลงทุน เตรียมตัวสำหรับภาวะตลาดที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

เงินเฟ้อที่กำลังถึงจุดสูงสุด และเศรษฐกิจ DM ที่กำลังจะชะลอตัวลงทำให้เราเชื่อว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของทั้งสหรัฐและไทยปรับลดลงมา 40bps จากจุดสูงสุดเมื่อสองสัปดาห์ก่อน

ซึ่งเรามองว่าเป็นเพราะเหตุผลสองประการ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อกำลังถึงจุดสูงสุด และเศรษฐกิจของกลุ่ม DM ที่กำลังจะชะลอตัวลง เราคิดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยที่ปรับลดลงมาเป็นบวกต่อแบบจำลอง earnings yield gap (EYG) และการประเมินมูลค่าหุ้น ทั้งนี้ เมื่ออิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีในขณะนี้ที่ 3.00%, EYG เฉลี่ยระยะยาวที่ 4.1% และ EPS ปี 2566 ที่ 112 เราประเมินว่า downside ของดัชนี SET จะอยู่ที่ 1,580 จุด ซึ่งต่ำกว่าระดับปัจจุบันเพียง 3.4%

 

อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ASEAN และไทยอาจจะเป็น sweet spots สำหรับปี 2566

ตามประมาณการล่าสุดของ IMF ในรายงาน WEO ฉบับเดือนเมษายน เศรษฐกิจของกลุ่ม EM และ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียมีแนวโน้มจะเร่งตัวขึ้นในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีนี้ จากการกลับมาเปิดประเทศและออกจากวิกฤติ COVID-19 ถึงแม้ว่า GDP ของไทยจะมีแนวโน้มจะขยายตัวในระดับปานกลางเนื่องจากอยู่ในจุดที่แตกต่างของวัฏจักรการพัฒนา แต่อัตราเงินเฟ้อ (CPI) และอัตราการว่างงานของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในภูมิภาค ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัด (CA) มีแนวโน้มจะพลิกจาก -0.1% ต่อ GDP ในปี 2565 เป็น +2.0% ต่อ GDP ในปี 2566 ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนของเสถียรภาพภายในที่แข็งแกร่งกว่า และแนวโน้มการพลิกมาเป็นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเราคาดว่าทั้งค่าเงินบาท และกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาในพอร์ตการลงทุนของไทยน่าจะดีขึ้น

 

 

 

EPS ของ บจ. ไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีหลัง COVID-19 ในขณะที่สัดส่วนกระแสเงินทุนไหลเข้า/มูลค่าตลาดชี้ว่าน่าจะมีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นใน 2H65

หลังจากที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงกลางปี 2563 ERS ของทั้งตลาดหุ้น ASEAN และตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มถูกปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดไทย และอินโดนีเซียค่อนข้างสูสีกันในแง่ของโมเมนตัมการปรับเพิ่มประมาณการกำไร ในขณะที่ตลาดฟิลิปปินส์ค่อนข้างจะอ่อนแอกว่าเพื่อน ส่วนเวียดนามดูโดดเด่นที่สุดเนื่องจากอยู่ในช่วงต้นของวัฏจักรการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในเชิงของการจัดสรรพอร์ตหุ้น เราเห็นด้วยกับ consensus ที่ Overweight หุ้นเวียดนามสำหรับการลงทุนใน ASEAN แต่เรายังชอบประเทศไทยด้วยในแง่ของข้อมูลความมั่นคงภายในที่อยู่ในระดับสูง และดุลระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

คงเป้าดัชนีสิ้นปี นี้ไว้ที่ระดับเหนือ consensus ที่ 1,800 จุด โดยเน้นหุ้น large cap ในธีมท่องเที่ยว, การเปิดประเทศ, การบริโภคในประเทศ และสินค้าโภคภัณฑ์บางตัว

เนื่องจากเรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ถดถอยอย่างรุนแรง ในขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจ ASEAN และไทยค่อนข้างแข็งแกร่ง รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เราจึงมองบวกกับแนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้าหุ้นไทยใน 2H65 ดังนั้น เราจึงยังคงเป้าดัชนีสิ้นปีนี้ไว้ที่ระดับเหนือ consensus ที่ 1,800 จุด อิงจาก PE ที่ 16.0x เท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง และประมาณการ EPS ปี 2566 ที่ 112 ทั้งนี้ หากเราใช้ consensus ของ EPS ปี 2566 ที่ 106 เป้าดัชนี SET จะอยู่ที่ 1,700 ซึ่งยังมี upside เหลืออยู่ดี หุ้นเด่นที่เราเลือกจะเน้นที่หุ้น large caps ที่มีประเด็นบวกในธีมท่องเที่ยว, การเปิดประเทศ, การบริโภคในประเทศ และสินค้าโภคภัณฑ์บางตัว ได้แก่ AOT*, BDMS*, MINT*, BEM*, MAJOR*, PLANB*, CPALL*, KBANK*, KTB*, BANPU*, ESSO* และ SPRC*