ประธานแบงก์ชาติระบุขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย "ช้า-เร็ว"อยู่ที่บอร์ดกนง.

ประธานแบงก์ชาติระบุขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย "ช้า-เร็ว"อยู่ที่บอร์ดกนง.

ประธานธปท.ระบุดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น จะช้าหรือเร็ว ขึ้นกับบอร์ดกนง.พิจารณาถึงความเหมาะสม ชี้เศรษฐกิจยังเผชิญความไม่แน่นอนจากปัญหาเศรษฐกิจโลก แนะสร้างสมดุลการเติบโตเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ

นายปรเมธี  วิมลศิริ ประธานกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อสภาวะแวดล้อมใหม่ทางเศรษฐกิจและการเงิน ในงานสัมมนา New Chapter เศรษฐกิจไทย จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจว่า เศรษฐกิจไทยยังอยู่บนพื้นฐานความไม่แน่นอน ทั้งจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึง การปรับรูปแบบนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา โดยประเทศที่ยังไม่เข้มแข็งจะต้องดูความสมดุลในการดูแลเศรษฐกิจกับเงินเฟ้อ

เขาระบุว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบานการเงิน(กนง.)จะเห็นความเหมาะสมเมื่อไหร่ ซึ่งสภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการประเมินว่า ในปีนี้นักท่องเที่ยวจะเข้ามา 5-6 ล้านคน ก็เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามว่าจะได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ฉะนั้น เศรษฐกิจจึงเป็นการฟื้นตัวไม่แน่นอน และเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่วนเงินเฟ้อก็ขยายตัวสูงกว่าที่คาด

เขากล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจไทยหลังโควิดนั้น จะเผชิญความท้าทาย 5 เรื่อง ได้แก่ 1.ความสามารถในการใช้เครื่องมือทางการคลังที่เหลือน้อย เพราะหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 40% เป็น 58% ในปัจจุบัน และมีการจัดงบขาดดุล ซึ่งหนี้อาจจะเพิ่มขึ้น เป็น 67% ในปี 2569 ฉะนั้น เมื่อฟื้นวิกฤตควรปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะให้กลับสู่ระดับไม่เกิน 60% ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่ในการใช้นโยบายการคลังในอนาคต หากเจอวิกฤตเศรษฐกิจไม่คาดคิดอีก

ดังนั้น โจทย์สำคัญ คือ การหารายได้เพิ่ม และการบริหารงบประมาณที่มีอย่างจำกัดจะเป็นโจทย์รัฐบาลชุดต่อไป รวมถึง นโยบายการเงินด้วย เมื่อดอกเบี้ยนโยบายลดถึง 0.5% แล้ว ระยะต่อไปก็คงต้องมีการปรับขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม

2.ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ขณะนี้ ความคิดเห็นต่างในสังคมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งโควิดมีผลกระทบรุนแรงต่อคนรายได้น้อย รวมถึง ธุรกิจเอสเอ็มอี โดยการจ้างงาน หนี้ครัวเรือน เพิ่มสูงขึ้น และกลุ่มเปราะบางก็ได้รับผลกระทบด้วย ฉะนั้น ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก ยังรวมถึงความเห็นต่างในสังคม ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงในระยะต่อไป

3.คุณภาพของคนถดถอยในภาวะวิกฤต เกือบ 2 ปี ที่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน ก็จะสูญเสียโอกาสผลสัมฤทธิ์ลงไปอีก นักศึกษาจบใหม่ก็หางานทำไม่ได้ กระทบต่อโอกาส และเสถียรภาพการทำงานในระยะยาว

4.เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำกว่าเสถียรภาพ การท่องเที่ยวจะกลับมา 40 ล้านคน ต้องใช้เวลาอีกระยะ ฉะนั้น เศรษฐกิจไทยยังมีส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการเต็มที่ ส่วนการผลิตของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้นน้อยมาก ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะต้องดูแล และ 5.การปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีรวดเร็วขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นข่าวดีของโควิด

ทั้งนี้ หลังจากระยะต่อไป ประเทศไทยก็จะเผชิญกับสังคมสูงวัย การดำเนินนโยบายลดคาร์บอนไดออกไซด์ และการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากถามว่าเมื่อเห็นภาพเศรษฐกิจนี้แล้ว อยากเห็น New Chapter เศรษฐกิจไทยอย่างไรนั้น ส่วนตัวอยากเห็นความมั่นคงของมนุษย์เพิ่มขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิม

“การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิม เห็นแล้วว่า การเติบโตอาจไม่ตอบโจทย์ New Chapter และไปนำไปสู่ปัญหา ฉะนั้น จากนี้ไปต้องสร้างเศรษฐกิจที่มีคุณภาพในทุกสาขา ขณะที่ การจัดงบประมาณของรัฐยังเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจเก่า ควรจะทบทวนภารกิจและระบบที่จะมาสนับสนุนเศรษฐกิจใหม่ ให้เป็นพระเอกใน New Chapter ให้สามารถสนับสนุนเอกชน และผู้ประกอบการเติบโตขึ้นได้”