SCGC ลุยลงทุนเวียดนาม อินโดนีเซีย ก้าวสู่ผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์อาเซียน

SCGC ลุยลงทุนเวียดนาม อินโดนีเซีย ก้าวสู่ผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์อาเซียน

เอสซีจี เคมิคอลส์ เผยความคืบหน้าการลงทุนโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมีในเวียดนาม คาดว่าดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นจาก 6.9 ล้านตันต่อปี เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี พร้อมขยายโครงการ CAP 2 ร่วมกับพาร์ทเนอร์ในอินโดนีเซีย

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เปิดเผยว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น “ผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ในระดับภูมิภาค ที่มุ่งสร้างการเติบโตแก่ธุรกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน” ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุน และเตรียมแผนการขยายเพิ่มเติมทั้งในเวียดนาม และอินโดนีเซีย

ปัจจุบัน SCGC จัดจำหน่ายสินค้าในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่โมโนเมอร์ต้นน้ำและพอลิเมอร์ปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องของปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ปัจจุบัน มีกำลังการผลิตรวม 6.9 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน 19%
 

โดยมีสัดส่วนรายได้จากอาเซียน คิดเป็นประมาณ 21%  โดยประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตหลัก ส่วนในอินโดนีเซียเป็นการลงทุนผ่านการถือหุ้น 30% ใน Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP)

ส่วนในเวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมี (Long Son Petrochemical Complex) ซึ่งบริษัทถือเป็นรายแรกที่เข้าไปลงทุน (first mover) โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งจะทำให้บริษัท มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นกว่า 40% เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี 

"ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยคาดการณ์เวียดนามและอินโดนีเซียจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) 5–6% ต่อปี ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GDP ทั่วโลกเกือบเท่าตัว  นอกจากนี้ อัตราการใช้พอลิเมอร์ในภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบัน (ณ 31 ธันวาคม 2564) อยู่ที่ 26 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา 2-3 เท่า ตลาดอาเซียนจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก" 

อีกทั้ง ปัจจุบันเวียดนามยังต้องนำเข้าพอลิเมอร์ประมาณ 75% และอินโดนีเซียประมาณ 50% เนื่องจากมีกำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นโอกาสของ SCGC ที่จะใช้ความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว และสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่า

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 SCGC มีรายได้จากการขาย 238,390 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 27,068 ล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจเคมีภัณฑ์จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม 

โดย SCGC เชื่อมั่นว่า ความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมไปถึงการมุ่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ ESG รวมทั้งการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม PVC จะทำให้บริษัทก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

นายธนวงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ช่วงปลายเดือนเมษายน ที่ผ่านมา จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด 

โดยจะมีวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ และคืนเงินกู้ให้กับบริษัทแม่ พัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและเมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะกรีนโพลีเมอร์ รวมทั้งการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยใช้ระบบดิจิทัลในการทำงานตลอดทั้งกระบวนการเพื่อลดต้นทุนในระยะยาว

 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์