“สมคิด”จี้รัฐรับมือ”สงคราม-โควิด”ลากยาวเกินคาดฉุดเศรษฐกิจ

“สมคิด”จี้รัฐรับมือ”สงคราม-โควิด”ลากยาวเกินคาดฉุดเศรษฐกิจ

“สมคิด”จี้รัฐวางแผนล่วงหน้า รับมือสงครามรัสเซีย ยูเครน และ โควิด ลากยาว จนกระทบต่อเศรษฐกิจ เงินเฟ้อพุ่ง ลามสังคมและการเมือง

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และว่าที่ผู้ถูกเสนอชื่อบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคสร้างอนาคตไทยโพสต์เฟซบุ๊ค ผ่านเพจ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ถึงการเตรียมรับมือกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามรัสเซียและยูเครน และ โควิด ที่ยังไม่ยุติลงง่ายๆ

นายสมคิด ระบุว่า นาทีนี้โลกเผชิญกับความเสี่ยง มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ทั้งจากเรื่องของโควิด-19 ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน เมฆหมอกความไม่แน่นอนมีมากขึ้นทุกวันจินตนาการถึงอนาคตยากมาก ทุกฝ่ายต้องเตรียมตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ต้องคิดวางแผนล่วงหน้าเสมอ

ยกตัวอย่างเรื่องโควิด-19 ที่ไม่ได้ยุติลงได้ง่าย แม้จะมีการฉีดวัคซีนไปมากแล้ว ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากมาย และกระทบกับฐานะการเงินการคลังของทุกประเทศ เกือบทุกประเทศตัดสินใจว่าไม่สามารถล็อกดาวน์ แต่ก็ต้องมีการบริหารจัดการให้ดี ตอนนี้มีแค่ประเทศจีนประเทศเดียวที่มีความพร้อมที่จะสู้ได้ ขณะที่ประเทศไทยก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจจะทนอยู่กับโควิด-19

 

ส่วนสงครามในยูเครน ไม่น่าจะยุติได้ง่าย เป็นสงครามที่มีความประสงค์และความมุ่งมั่นของฝ่ายต่างๆ ไม่มีใครรู้ว่าสงครามใหญ่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ยูเครนเป็นแค่หมากตัวแรกอำนาจเดิมยังไม่ยอมที่จะลดลง ส่วนอำนาจใหม่นั้นจะพยายามมีอำนาจขึ้นมา ปัจจุบันเริ่มขยายวงไปยังสวีเดนและฟินแลนด์ ที่พยายามจะเข้าสู่นาโต้ กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ตามมา ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะสงครามและโควิด เกิดภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร พลังงาน และเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั้งโลก นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว ยังจะตามมาด้วยเรื่องของปัญหาสังคมและการเมือง

หลายประเทศเกิดจลาจลวุ่นวาย เนื่องจากคนยากจนได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อรัฐบาลดูแลไม่ได้ก็จะเกิดปัญหาตามมา เช่น ที่บราซิล ศรีลังกา และการเปลี่ยนแปลงการเมืองที่ฟิลิปปินส์

“สมคิด”จี้รัฐรับมือ”สงคราม-โควิด”ลากยาวเกินคาดฉุดเศรษฐกิจ

นายสมคิด ยังโพสต์ด้วยว่า ในวันนี้ญี่ปุ่นกำลังเดินหน้าสู่การเป็นสังคม 5.0 โดยจะใช้เทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ต และ Internet of Things (IOT) การใช้บิ๊กดาต้ามาเปลี่ยนสังคม 

ทั้งสังคมจะถูกเชื่อมโยงด้วยข้อมูลข่าวสาร เพื่อนำไปวิเคราะห์แก้ไขปัญหาต่างๆให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด อาทิการวิเคราะห์กระบวนการรักษาทางการแพทย์ เพื่อรักษาคนไข้ได้ตรงจุด การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน 

เมื่อเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าอนาคตข้างหน้าบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนเป็น 5.0 อย่างแน่นอน