พฤกษารับยอดขายไตรมาสแรกสะดุด เหตุขาดแรงงานเร่งเปิด9โครงการไตรมาสสอง

พฤกษารับยอดขายไตรมาสแรกสะดุด เหตุขาดแรงงานเร่งเปิด9โครงการไตรมาสสอง

พฤกษา เผยผลประกอบการไตรมาสแรกสะดุด เหตุขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง-ชะลอเปิดโครงการใหม่ เร่งเปิดตัวไตรมาสสอง9 โครงการมูลค่ารวม 5.9พันล้านหนุนรายได้ปีนี้ 33,000 ล้านตามเป้า

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ตัวเลขยอดขายไตรมาสแรกต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้พอสมควร โดยลดลงเหลือ 5,344 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่6,940ล้านบาทลดลง23%เป็นผลมาจากการเปิดโครงการใหม่ลดน้อยลงส่งผลต่อยอดขาย

 ส่วนรายได้ไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 5,679ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่6,888 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากการก่อสร้างที่ช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจากขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ทำให้การส่งมอบล่าช้าทำให้ยอดโอนน้อยกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้แก้ปัญหาไปแล้ว คาดว่า ตั้งแต่ไตรมาส2 ตัวเลขดีขึ้น

ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกเป็นผลมาจากการเพื่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่องด้วยการประหยัดต้นทุนในหลายด้าน ใช้ระบบอัตโนมัติ
ระบบวิศวกรรมการก่อสร้างที่ช่วยประหยัดปริมาณใช้ซีเมนต์ จัดวางเส้นทางขนส่งให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนพลังงาน

 นอกจากนั้นยังมีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ระบบจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบ Streamline ช่วยลดชั่วโมงการทำงานไปได้ มากกว่า 10,400 ชั่วโมง และการบริหารจัดการต้นทุน โดยสามารถประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้มากกว่า 460 ล้านบาท หรือ 1.4% ของรายได้ ทำให้สามารถตรึงราคาค่าก่อสร้างไว้ได้ท่ามกลางเงินเฟ้อและต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น2-3%  ทำให้สามารถตรึงราคาสินค้าไว้ได้ในต้นทุนเดิมไปจนถึงสิ้นปี2565 

 "กำไรในไตรมาสแรกปีนี้เทียบปีที่แล้วเพิ่มขึ้น9.9% เน็ต มาร์จิ้นสูงขึ้นหลังจากที่พฤกษาได้โฟกัสตัวเองมาทำธุรกิจที่เน้นการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นเน้นเรื่องการสเกลและสร้างรายได้จากยอดขาย"

พฤกษารับยอดขายไตรมาสแรกสะดุด เหตุขาดแรงงานเร่งเปิด9โครงการไตรมาสสอง

 สำหรับในไตรมาส2ปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 5,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการประเภททาวน์เฮ้าส์ จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,200 ล้านบาท และโครงการประเภทบ้านเดี่ยวจำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 2บริษัทมีแผนจะใช้สื่อในการทำการตลาด พร้อมกับจัดกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย

 นายอุเทน กล่าวว่า บริษัทยังคงตั้งเป้ารายได้ในปีนี้  33,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 20,200 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 18,700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2568 ทั้งนี้ ในปี 2565 จะมีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ จำนวน 7 โครงการรวมมูลค่าโครงการรวม 15,200 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3เป็นต้นไป นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังมีสต็อกพร้อมขายพร้อมโอนในมือมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท รองรับการขายและการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง 
 

 “ในปีนี้ เรามุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ โดยมีแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed Use ที่จะผสานบริการด้านสุขภาพไว้ในโครงการเดียวกัน รวมถึงมองหาพันธมิตรใหม่เพื่อเข้ามาเติมเต็มบริการตอบสนองผู้บริโภค รวมทั้งการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจหลักควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนทางการเงินในรูปแบบ Corporate Ventures กับบริษัทที่มีเทคโนโลยีระบบนิเวศในด้าน Proptech Health-Tech และ E-Commerce "

 นอกจากนี้ ปัจจุบันกำลังจะเตรียมเปิดให้บริการศูนย์สุขภาพแห่งแรกในชุมชนพฤกษา ขนาด 50 เตียง ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการพฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน ในเดือนส.ค.นี้ และโครงการ SENERA Senior Wellness บริเวณถนนคู้บอน ขนาด 78 เตียง ซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนธ.ค.นี้

นายอุเทน  ระบุว่า  ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรอพัฒนาสะสมไว้มีมูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการพัฒนาโครงการเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคตได้ 80,000 ล้านบาท โดยเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพอย่างบางนา ,ราชพฤกษ์  ที่มีฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ที่พร้อมนำออกมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้บริษัทต้องจ่ายภาษีที่ดิน 50 ล้านบาท 

สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาฯในปีนี้ มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบที่ผู้ประกอบการในตลาดต่างหันมาเน้นการพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ จากพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปหลังโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของผู้บริโภคในปัจจุบันมากขึ้น 

ส่วนตลาดคอนโดยังคงชะลอตัว คาดว่าฟื้นตัวกลับมาในปี 2566-2577 หลังจากที่คนเริ่มกลับมาทำงานและใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น ทำให้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองที่ใกล้ที่ทำงาน และลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อ แต่คงไม่สามารถกลับหวือหวาเหมือนในอดีต