OR ไตรมาส 1/65 กำไร 3.8 พันล้านบาท โต 63% จากไตรมาสก่อน

OR ไตรมาส 1/65  กำไร 3.8 พันล้านบาท โต 63% จากไตรมาสก่อน

OR เผย กำไรไตรมาส 1/65 กำไร 3.84 พันล้านบาท ลดลง 3.9% แต่เพิ่มขึ้น 63% จากไตรมาส 4/64 ที่มีกำไร 2.35 พันล้านบาท ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น - ทุกกลุ่มเติบโต

นายพิจินต์ อภิวันทนาพร  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย หรือ OR แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/2565  มีกำไรสุทธิ 3,845 ล้านบาท  ลดลง 3.9%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,003 ล้านบาท 

แต่ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาส 4 ในปี 2564 พบว่ามีกำไรเพิ่มขึ้น 63% จากไตรมาส 4 ที่มีกำไรสุทธิ 2,354 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้ขาย และบริการ 177,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% จากไตรมาสก่อนหน้า

 

โดยสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกโดยเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น ตามอุปสงค์ที่เพิ่มตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก ที่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 รวมถึงประเทศไทย และเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และอุปทานยังตึงตัวจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่าง รัสเซียและยูเครน เป็นปัจจัยที่ทำให้รายได้ขายของทั้ง กลุ่มธุรกิจ Mobility เพิ่มขึ้น 3.8% มูลค่า 165,585 ล้านบาท  และกลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มขึ้น 9% มูลค่า 11,230 ล้านบาท

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีรายได้ 4,767 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 5.8% จากอุปสงค์ที่ลดลง และปัจจัยฤดูกาลเมื่อไตรมาสก่อน เป็นช่วงวันหยุดยาวตามเทศกาล และการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการขายลดลง

 

EBITDA (กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้) ใน ไตรมาส 1 ปี 2565 จำนวน 6,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.4% เป็นมูลค่า 2,049 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ ไตรมาส 4 ปี 2565 

โดยเพิ่มในทุกกล่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจ Mobility จากภาพรวมกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น จากทั้งธุรกิจตลาดพาณิชย์ และธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ขณะที่กำไร ขั้นต้นของการขายดีเซลผ่านสถานีบริการชะลอตัว จากการลดภาระภาคประชาชนในการชะลอการปรับราคาหน้าสถานีบริการ 

กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น จาก EBITDA Margin ดีขึ้น ทั้งในส่วนของธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มและธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ กลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มขึ้น ตามกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นใน ประเทศฟิลิปปินส์ และสปป. ลาว เป็นหลัก สำหรับ

ภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง 14.8% โดย หลัก คือ ค่าโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย รวมถึงค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา ในไตรมาสนี้ OR มีกำไรสุทธิ จำนวน 3,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.3% มูลค่า 1,491 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.32 บาท  สูงกว่าไตรมาสก่อน  0.12 บาท (+60.0%)

สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 มีค่าเฉลี่ยปรับตัวสูงกว่าไตรมาส 1 ปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 95.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากความกังวลในการคว่ำบาตรการ นำเข้าพลังงานจากประเทศรัสเซียที่เพิ่มมากขึ้น

อย่าง

ไรก็ตาม IEA คาดการณ์ว่าปริมาณอุปทานน้ำมันจากรัสเซียจะหายไปในเดือนเมษายน 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และอาจเพิ่มเป็น 3.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 

โดยกำลังการผลิตน้ำมันดิบของรัสเซียเริ่มลดลงตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม ทำให้ภาพรวมการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC+ ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้า และปริมาณการผลิตยังคงต่ำกว่าแผนการผลิตที่ตั้งไว้มาก แต่กลุ่ม OPEC+ ยังคงยึดแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนพฤษภาคม มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิต เป็นเดือนละ 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน 

รวมถึงการประกาศระบายน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve, SPR) จากกลุ่ม ประเทศสมาชิกของสำนักพลังงานสากล (IEA) เพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม ปริมาณ 120 ล้านบาร์เรล 

นอกจากนี้ประเทศ สหรัฐอเมริกา มีแผนการระบายน้ำมันเพิ่มเติม 120 ล้านบาร์เรล รวมทั้งสิ้น 240 ล้านบาร์เรล เพื่อบรรเทาความกังวลต่อการขาดแคลนอุปทานน้ำมันจากรัสเซีย คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2565 อยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล

 

 

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์