เฟดส่งสัญญาณเงินเฟ้อน่าจะผ่านจุดสูงสุด

ตลาดตอบรับเชิงบวกหลังเฟดสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย เฟดมีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% และมีแนวโน้มที่จะยังปรับขึ้นในระดับ 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งหน้า
ขณะที่จะเริ่มลดงบดุลตั้งแต่ 1 มิ.ย. โดยจะลดลงเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนแรก ก่อนที่จะปรับขึ้นเป็น 9.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เฟดเคยสื่อสารไว้ ตลาดตอบรับเป็นลบในช่วงของการแถลงข่าว อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกเป็นบวกมากขึ้นในช่วงถาม-ตอบ ซึ่งเราประเมินว่าเกิดจาก 1) การขึ้นดอกเบี้ยแรงถึงครั้งละ 0.75% ไม่อยู่ในความคิดของเฟด 2) เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) น่าจะถึงจุดสุงสุดแล้ว 3) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งและไม่มีสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย (recession) 4) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เฟดน่าจะเริ่มลดการดำเนินนโยบายการเงินได้ (Neutral rate) คือ ประมาณ 2-3% ซึ่งแปลว่า เฟดอาจหยุดขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งปีหลัง หรืออย่างช้าสิ้นปีนี้
ตัวแปรอะไรจากนี้ที่ตลาดจะมอง? หากอิงจากการขึ้นดอกเบี้ยในอดีต ตลาดหุ้นจะยังสามารถเดินหน้าได้ ตราบใดที่เศรษฐกิจยังสามารถเติบโต ซึ่งอิงจากบริบทของสหรัฐฯ ที่ GDP 70% มาจากการบริโภค แปลว่าตราบใดภาวะการจ้างงานยังแข็งแกร่ง โอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ จะต่ำมาก (สถานการณ์ในปัจจุบันตำแหน่งงานที่เปิดรับมากกว่าคนทำงาน ทำให้โอกาสเห็นการลดคนน่าจะอยู่ในระดับต่ำ) ดังนั้นตราบใด ตัวแปรพวก รายได้หรือค่าจ้าง, การบริโภค (ยอดค้าปลีก) รวมถึงตัวเลขการจ้างงาน ยังคงแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นจะมีภูมิคุ้มกันต่อการขึ้นดอกเบี้ยในระดับหนึ่ง ตลาดหุ้นเอเชียมีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นกัน แต่ในระดับที่น้อยกว่าเนื่องจากหุ้นเชียเคลื่อนไหวดีกว่าหุ้นสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO 4) กลุ่มมีลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ JMT, JMART 5) กอง REIT ได้แก่ FTREIT, WHART 6) ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กที่สามารถเลือกเก็งกำไร (แบบกำหนดจุดตัดขาดทุน) ในช่วงนี้ ได้แก่ THREL, BLA, MAJOR, TH, SCN, SCI, CMR, TKN, SPA เป็นต้น
ภาพรวมกลยุทธ์: แม้โดยรวมยังคงมุมมองระมัดระวังสำหรับไตรมาส 2/65 ที่อัพไซต์อาจจะจำกัด แต่ระยะสั้นตลาดมีโอกาสฟื้นตัว หลังนักลงทุนปรับสถานะการลงทุนผ่าน sell in April ไปพอสมควร ทำให้ถือเงินสดในมือสูงและมีความพร้อมในการเข้าเพิ่มสถานะการลงทุน อย่างไรก็ตามเน้นในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่ valuation ไม่แพงหรือกระแสเงินสดสูงที่สามารถจำกัด downside risk ได้เป็นหลัก //หุ้นแนะนำ: SCB*, BANPU*, MAJOR*, WHART*
แนวรับ: 1,650 / แนวต้าน : 1,663-1,670 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
สหรัฐเผยขาดดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ – ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐพุ่งขึ้น 22.3% สู่ระดับ 1.098 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.07 แสนล้านดอลลาร์
ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐต่ำกว่าคาด – การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 247,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 395,000 ตำแหน่ง
แบงก์ชาติอินเดียประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.40% - ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (repo rate) 0.40% สู่ระดับ 4.40% กังวลเงินเฟ้อกระทบเศรษฐกิจ
SABUY รวบหุ้น TSR ถือ 24.92% – ออกหุ้นเพิ่มทุน PP ไม่เกิน 67.64 ล้านหุ้นในราคาไม่เกิน 28 บาท จัดสรรให้ “กลุ่มแจ้งอยู่-COM7” หวังขยายสินค้าเงินผ่อน
JMART ซื้อหุ้น NINE เล็งต่อยอดธุรกิจ - ซื้อหุ้นจำนวน 25 ล้านหุ้น คิดเป็น 6.8% เพื่อต่อยอดธุรกิจบนสถานีบีทีเอสที่จะมีการขายทั้งมือถือ ปล่อยสินเชื่อและร้านกาแฟ
BIS เข้าเทรด mai วันแรก 5 พ.ค. กลุ่มบริการ –ดำเนินธุรกิจผลิตนำเข้าและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ เครื่องมือ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง
KCC เข้าเทรด mai วันแรก 5 พ.ค. กลุ่มธุรกิจการเงิน – เป็นผู้จัดหาและการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย
TRUE-DTAC – กสทช.จัดรับฟังความเห็นสาธารณะในวงจำกัด (Focus group) ต่อกรณีการควบรวม TRUE และ DTAC ครั้งที่ 1 วันที่ 9 พ.ค.65 เวลา 9.00-12.00 น.
ประเด็นติดตาม: 5 พ.ค. – TH เงินเฟ้อ, UK BoE Interest Rate Decision, US Initial Jobless Claims / 6 พ.ค. – US Nonfarm Payrolls, US Unemployment Rate / 11 พ.ค. – US Core CPI / 12 พ.ค. – MSCI rebalancing
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)







