Quantamental ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ มีความน่าสนใจลงทุนลดลงในด้าน Valuation

Quantamental ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ มีความน่าสนใจลงทุนลดลงในด้าน Valuation

เราเริ่มแนะนำให้นักลงทุนขายทำกำไร “Sell into strength” ในบทวิเคราะห์ Quantamental เดือน ก.พ. 2565 เพิ่มลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบางส่วน และในเดือน มี.ค. - เม.ย. 2565 เราแนะนำเพียง“ซื้อเก็งกำไร” ในหุ้นเด่นที่เราคัดกรองมา

ซึ่งตลาดหุ้นไทยเป็นไปตามคาดคือ ไม่มีการทำจุดสูงสุดใหม่ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2565 เป็นต้นมาจนถึงเดือน เม.ย. ล่าสุด SET index ยังปรับลดลงอีก -1.6% นอกจากนี้ Valuation โมเดลของเราเริ่มส่งสัญญาณ “ขาย”

 

Value factor: Valuation ของตลาดหุ้นถูกกดดันจากตลาดพันธบัตร (Bond yield ขึ้นแรง)

i) Modified yield gap (M-yield gap): โมเดล M-yield gap ของเราเริ่มปรับลดลงต่ำกว่า -2.0 จุด (เริ่มต้น
สัญญาณขาย) ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน เม.ย. 2565 และอยู่ที่ระดับ -2.44 จุด ตอนสิ้นเดือน เม.ย. 2565 ซึ่งเป็นการลดลงหลุด -2.0 จุดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน มี.ค. 2564 เป็นต้นมา เนื่องมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ปรับขึ้นแรง ขณะที่นักวิเคราะห์ทำการปรับลดประมาณการฯ EPS ของ SET index ลงเล็กน้อยในเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้หากพิจารณาจากรอบก่อนที่ M-yield gap ลดลงไปต่ำกว่า -2.0 จุด เมื่อเดือน มี.ค. 2564 ตลาดหุ้นไทยกลับ Sideway up ขึ้นตลอดทั้งปี 2564 เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องมาจาก Bond yield ที่ปรับลดลงแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย.2564 จนทำให้ M-yield gap ปรับตัวขึ้นมา กลับเป็นสัญญาณ “ซื้อ” (> +2.0 จุด) ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2564 ซึ่งหากพิจารณาปัจจัยแวดล้อมต่างๆแล้ว เราประเมินสถานการณ์ในปีนี้จะแตกต่างจากปีก่อน เนื่องจาก Bond yield มีโอกาสที่จะเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องตลอด 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินของ Fed ที่คาดจะมีการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก ดังนั้นเราประเมินสัญญาณ “ขาย” รอบนี้ อาจเป็นการเริ่มต้นเตือนความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มพักฐานในอนาคตอันใกล้ … อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยฯประเมิน Bond yield จะปรับขึ้น และใน 3Q65 จะเป็นจุดสูงสุดของการปรับขึ้นรอบนี้ก่อนที่จะเริ่มพักฐานในช่วงที่เหลือของปี

 

 

 

ii) Implied equity risk premium (iERP): iERP ล่าสุดเท่ากับ 3.14% ใกล้เคียง -1.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต โดย iERP ของเราคำนวณด้วยวิธี Reverse engineering โมเดล DDM นั้น อยู่ในระดับที่ต่ำเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ย.2564 อย่างไรก็ดีความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับ Risk free (Bond yield) แล้วกลับเริ่มมีความน่าสนใจที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วน iERP/Risk free ล่าสุดปรับลดลงเหลือ 1.1 เท่า ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 2557 เป็นต้นมา

iii) Cyclical adjusted PE (CAPE): CAPE ของตลาดหุ้นไทยล่าสุดเท่ากับ 19.9 เท่า (+1 เท่าของส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต) ซึ่งอัตราส่วน CAPE ทรงตัวยในระดับสูง 19 – 20 เท่า มาตลอดตั้งแต่เดือน
มี.ค. 2564 อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบกับตลาดพันธบัตร หรือ Excess CAPE Yield
(ECY) จะพบว่า ECY ของตลาดหุ้นไทยลดลงเหลือ 2.4% เป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน พ.ย. 2561 เป็นต้น
มา และต่ำกว่า ECY ของตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ล่าสุดอยู่ที่ 2.56% ซึ่งโดยปกติแล้วหากพิจารณาในด้านของ
Risk premium ตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างประเทศไทย ควรที่จะสูงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดีเนื่องจากเราคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับที่ต่ำ
จนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย จึงทำให้อัตราการเร่งตัวขึ้นของ Bond yield ในประเทศไทย มีโอกาสที่จะ
ปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวกว่า Bond yield ในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ค่าส่วนต่างของ ECY ของตลาดหุ้น
ไทยกับสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะกลับสู่ระดับใกล้เคียงปกติได้ เราจึงไม่ได้คาดว่าจะเกิดการไหลออกของ
เงินทุนจากตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ แม้ ECY ขณะนี้จะต่ำในเชิงเปรียบเทียบก็ตาม

 

 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจมองหาหุ้น Value

จาก Valuation ตลาดหุ้นที่ค้อนข้างตึงตัว เราประเมิน Upside ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด และมีโอกาสที่จะเกิด Momentum crash หรือ การพักฐานของหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย เราแนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก และพิจารณาทยอยสะสมในหุ้น Value ที่เราคัดกรองมาด้วย โมเดลของ Benjamin Graham ในตารางที่ 2 ซึ่งจะเป็นการพิจารณาในด้าน Valuation และเสถียรภาพของบริษัทฯ

 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ยังแนะนำเก็งกำไรหุ้นเด่น แต่เพิ่มความระมัดระวัง

หุ้นเด่นในตารางที่ 1 คัดกรองจาก Quantamental ของเรา ซึ่งผสมผสานปัจจัยด้าน Value และ
Momentum โดยในเดือน เม.ย. หุ้นเด่นของเราทั้ง 20 ตัว ให้ผลตอบแทน +2.4% (Equal weight) และ
+2.8% (Market cap weight) ในด้านเทคนิค เราประเมินแนวรับของดัชนี SET index เดือนนี้ไว้ที่ 1,640 จุด และ 1,600 จุด / แนวต้าน 1,680 จุด และ 1,700 จุด ตามลำดับ