“อาคม”รับนโยบายนายกฯศึกษาแหล่งเงินฟื้นเศรษฐกิจ

“อาคม”รับนโยบายนายกฯศึกษาแหล่งเงินฟื้นเศรษฐกิจ

“อาคม”รับนโยบายนายกฯศึกษาแหล่งเงินฟื้นเศรษฐกิจ ชี้ไม่จำเป็นต้องกู้อย่างเดียว ย้ำต้องรักษาวินัยการคลัง ระบุ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว มาตรการช่วยเหลือต้องตรงจุด สั่งสศค.ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจก่อนพิจารณาคนละครึ่งเฟส 5 เผย 6 เดือนแรกจัดเก็บเกินเป้าเกือบ 7 หมื่นล้าน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยกรณีนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการคลังหาแหล่งเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่า ให้ไปดูแหล่งเงิน ซึ่งแหล่งเงินก็มีหลายแหล่ง ไม่ได้หมายความว่า จะต้องกู้เงินเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นแหล่งเงินจากงบประมาณก็ได้ ดังนั้น เรื่องการกู้เงินนั้น ทางกระทรวงการคลังยังไม่พิจารณา

“ท่านบอกให้ไปดูแหล่งเงินว่า จะมีทางไหนบ้าง ไม่ได้หมายความว่า ต้องกู้อย่างเดียว เป็นงบประมาณได้ไหม เป็นต้น ยังไม่ได้ดูละเอียดลึกซึ้ง และถ้าไปดูเรื่องของเศรษฐกิจนั้น ขณะนี้ ก็ปรับตัวดีขึ้น การจัดเก็บรายได้ก็ดีขึ้น ฉะนั้น ความจำเป็นที่จะต้องหาเงินก้อนมา ก็ต้องดูว่า ถ้าเศรษฐกิจฟื้น รายได้ก็จะขึ้น การใช้จ่ายก็เป็นไปตามระบบของมันด้วย”

เขากล่าวด้วยว่า เรื่องการกู้เงินนั้น จะต้องพิจารณาในเรื่องวินัยการเงินการคลังด้วย ซึ่งที่ผ่านมา เราก็ได้กู้เงินไปมากแล้วถึง 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งก็เป็นทิศทางเดียวกันกับหลายประเทศ โดยภายหลังจากการกู้เงินแล้ว ทุกประเทศก็จะเข้าสู่โหมดฟื้นฟูแบบปกติ และ การจัดหารายได้

อย่างไรก็ดี ตนได้มอบให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจจะยาวนานหรือไม่ จะต้องมีมาตรการอะไรบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่า จะพุ่งเป้าไปที่การกู้เงิน

ทั้งนี้ เท่าที่ตนได้ประเมิน พบว่า ขณะนี้ เศรษฐกิจเริ่มฟื้น คนก็กลับมาทำงาน มีรายได้ กลไกก็ทำงานปกติ ความจำเป็นต้องกู้มาเพื่อเฉพาะเรื่องนี้ ก็อาจต้องพิจารณาและดูสถานการณ์เศรษฐกิจไปด้วย เพราะมาตรการที่จะเข้าไปช่วยเหลือก็จะพุ่งเป้าไปเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ เช่น มาตรการลดค่าครองชีพ และ ราคาน้ำมัน ก็มีมาตรการออกไปแล้ว ก็ใช้งบกลางส่วนหนึ่ง

“ถ้าเศรษฐกิจเติบโตได้ดี ธุรกิจมีรายได้ ความช่วยเหลือก็อาจจะลดน้อยลง เพราะเราก็กู้มาเยอะแล้ว หลายประเทศกู้มากกว่าเรา ก็อยู่ในโหมดฟื้นฟู ก็เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบปกติ คือ การลงทุน ซึ่งเราก็จะมีโครงการลงทุนต่างๆ ไม่ว่า จะเป็นของราชการ ก็อยู่ในงบประมาณ ก็ไปเร่งรัด และ รัฐวิสาหกิจ และ เอกชน ฉะนั้น ทุกประเทศก็เริ่มกลับมาในโหมดนี้”