สันติภาพ 'ไทย-กัมพูชา' ทำอย่างไรให้สะเด็ดน้ำ?

ดูเหมือน สถานการณไทย-กัมพูชา คำถามใหญ่ที่หลายคนต้องการคำตอบที่เป็นจริง ไม่เพียงแค่วาทกรรมสวยหรู บนโต๊ะเจรจา
ก็คือ สันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา จะเป็นจริงได้หรือไม่ อะไรคือปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่จุดนั้น มีความหวังแค่ไหนที่คนไทยและกัมพูชา จะได้เห็นความสงบสุขในชีวิต
ความจริง สถานการณไทย-กัมพูชา ในระดับของการเจรจาก็มีสัญญาณให้เห็นอยู่บ้างว่า มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี ซึ่งต่างจากพื้นที่แนวชายแดน ที่ยังมีความตึงเครียด และเฝ้าระวังทั้งสองฝ่าย
สัญญาณที่มีแนวโน้มไปในทางที่ดี เริ่มจาก การประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ (ร.13 พัน 3 รอ.)
พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 แถลงสรุปผลการประชุม ในระดับแม่ทัพฝั่งกองทัพภาคที่ 1 ว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงด้วยดี ตอบรับ 13 ข้อตกลงหยุดยิง จากการประชุม GBC ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบเพิ่มเติม 3 ประเด็น จากที่ไทยเสนอ 4 ประเด็น คือ
1.ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ดำเนินการร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยให้หารือร่วมกันในการประชุม GBC ครั้งต่อไป
2.ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ในการร่วมมือประสานงานแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้ใช้เวทีมหาดไทย-กัมพูชา หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และเห็นควรให้เสนอหารือร่วมกัน GBC ครั้งต่อไป
3.ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ ให้มีกลไกจัดตั้งชุดประสานงาน Coordination Group (CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกรองรับคณะ RBC ในการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่
4.ในการแก้ไขปัญหาละเมิด MOU 43 ฝ่ายกัมพูชา ขอให้ใช้กลไกอื่น ในการหารือ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจ ของ RBC โดยฝ่ายไทยยืนยันให้ฝ่ายกัมพูชาทราบว่า เป็นพื้นที่ที่สำคัญ และแจ้งเจตนารมณ์ชัดเจน ของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ย้ำว่า เรื่องนี้ กัมพูชา ขอไปใช้กลไก JBC หรือคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา แทน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ต้องเสนอผ่านกลไก GBC
สำหรับข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย - กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพร้องกัน มีดังนี้
1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี
2. รักษาสถานะ การวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย
3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย - กัมพูชา
4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะ การหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน
5. ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี
6. การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา : การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ
7. กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์
8. เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้
8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่
8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์นับจากการประชุม GBC ใน 7 ส.ค. 68
8.3 ดำรงช่องทางการติดต่อสื่อสารโดยตรงระดับรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ
9. งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม
ส่วนที่ 2 กลไกตรวจสอบการหยุดยิง
10. ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการตามผลหารือเมื่อ 28 ก.ค. 68 ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงและการมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซีย
11. เห็นชอบให้ RBC ในแต่ละพื้นที่ ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซียเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ โดย RBC จะพบกันเป็นประจำ และส่งรายงานให้ GBC ตามสายการบังคับบัญชาของแต่ละฝ่าย
12. ในระหว่างการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่มีมาเลเซีย เป็นผู้นำ จะใช้กลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทย และกัมพูชา ทำหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราว
ส่วนที่ 3 การประชุม GBC
13. ให้จัดการประชุม GBC ในหนึ่งเดือนหลัง 7 ส.ค.68 (สถานที่จะตกลงกันภายหลัง) หรือมิเช่นนั้น การประชุม GBC วิสามัญ จะถูกจัดขึ้นเพื่อเจรจาการหยุดยิง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ข้อเสนอที่จะนำไปสู่ สันติภาพถาวรได้ ของ แก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ หนึ่งในแกนนำ “กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” โดยการออกบทความในรูปแบบถาม-ตอบ เรื่อง “เก็บลวดหนาม..เปิดด่าน..แล้วชนะเขมรด้วย “สันติภาพ” ???”(22 ส.ค.68)
“แก้วสรร” เริ่มจากคำถามว่า
“ถาม เห็นที่ปรึกษานายกฯ เค้าประกาศว่า ไทยต้องชนะเขมรด้วย “สันติภาพ” อยากทราบว่า “กลุ่มรวมพลัง” รักสันติภาพไหมครับ
ตอบ ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ต้องตัดสินกันด้วยยุทธศาสตร์ ไทย-เขมร ที่ต้องขบคิดให้ครบแล้วค่อยมาคุยแลกเปลี่ยนกัน ไม่ใช่ให้เอาแฮชแท็กซ์ เท่ๆ มาประกวดกันอย่างนี้ ข้อเสนอที่ซุกซ่อนกันไว้ จะให้ทหารยอมเก็บลวดหนาม- เปิดด่าน นั้น จะถูกหรือผิด ก็ต้องมียุทธศาสตร์โดยรวมมาอธิบายว่าจะนำไปสู่สันติภาพถาวรได้อย่างไร ยุทธศาสตร์สมบูรณ์อย่างนี้รัฐบาลมีหรือไม่อย่างไร เราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย
ถาม แล้วทางกลุ่มรวมพลังมียุทธศาสตร์แล้วหรือ ถึงไปชุมนุมหนุนเลิก MOU ที่หน้าสภา
ตอบ พอจะมีเป็นเค้ามูลร่วมกันบ้างแล้วนะครับ ปัญหาว่าชายแดนไทยหยุดอยู่ที่ตรงไหนนั้น เป็นเรื่องที่ถูกผูกพันไว้ด้วยสนธิสัญญา ที่กำหนดให้ใช้สันปันน้ำ เสริมด้วยหลักเขตในพื้นราบ ที่จะสำรวจตกลงกัน ความผูกพันนี้ ปัจจุบันถูกแปรมาเป็นแผนที่ ที่ไทย-เขมร ถือกันคนละฉบับ แล้วไม่ตรงกัน จนเกิดขัดแย้งเป็นระยะมาถึงทุกวันนี้
ถาม มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร
ตอบ แผนที่ ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่ฝรั่งเศสทำแล้วเขมรยึดถือนั้น สยามเราไม่ได้รับรองแต่อย่างใด ที่ไทยใช้ทุกวันนี้ ก็เป็นแผนที่ที่อเมริกาเอาเทคโนโลยีใหม่ในภาพถ่ายทางอากาศ มาช่วยไทยจัดทำขึ้น จนเกิดเป็นแผนที่ในมาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐ ฉบับไหนถูกหรือผิด ไม่ใช่อยู่ตรงมาตราส่วน อยู่ตรงที่ความสอดคล้องกับข้อกำหนดในสนธิสัญญา ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังไม่เคยชี้ขาดกันเลย ได้แต่สร้างกลไกเจรจาตาม MOU เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้ง เป็นจุดๆ ไปเท่านั้น ซึ่งเมื่อเขมรไม่ยอมเจรจา กองทัพก็ได้แต่ยื่นข้อประท้วงตาม MOU เป็นครั้งคราวไป บางจุดก็ประท้วงเป็น ๖๐๐ ครั้งแล้ว
ถาม มาวันนี้กองทัพไทยรบชนะ เอาดินแดนที่อยู่ในแผนที่ ๑ : ๕๐๐๐๐ ทั้ง ๑๑ จุดคืนมาหมดแล้ว จึงกั้นลวดหนามแล้วก็จบกันเลยอย่างนั้นหรือ
ตอบ ลวดหนามวันนี้เป็นการกีดกั้นทางกายภาพ ตามการยึดครองโดยอำนาจทางทหารเท่านั้น ในแง่แผนที่ ผมว่าเราต้องเดินหน้าโดยเร็ว หากลไกตรวจทานที่ถูกต้อง มาพิสูจน์ให้ได้ฉบับที่ชอบธรรมเป็นที่ยุติก่อน อาจใช้กลไกอาเซียนมาช่วยรับรองด้วยก็ได้ พอได้ฉบับใหม่นี้แล้ว จะสร้างรั้วถาวร แบบ ชายแดน เขมร-เวียดนาม ก็ทำได้
วันนี้เมื่อได้เปรียบทางทหารแล้ว เราต้องเดินแต้มทางการทูตทางวิชาการ สำทับไปเลยให้โลกเห็นว่า เราใช้เหตุใช้ผล ไม่ใช่ทำแบบเขมรที่ยิงจรวดใส่ชาวบ้าน สร้างภาพบานปลาย แล้วไปฟ้องสหประชาชาติ ตลบตะแลงสร้างภาพความเป็น “เหยื่อ” ให้โลกเข้ามาช่วยตบกบาลประเทศไทย อย่างที่ทำไป
ถาม เราพยายามจะสร้างแผนที่ที่ชอบธรรม สักเท่าใด ฮุนเซ็น ก็ไม่ยอมรับอยู่ดี
ตอบ เรื่องแผนที่นั้นเป็นงานทำวันนี้เพื่อมุ่งผลระยะยาว เฉพาะหน้านี้เป็นเรื่อง “สงครามกับระบอบเผด็จการหมาบ้า ฮุนเซน” ที่ไม่มีทางจะเกิดสันติภาพกับเราได้เลย ต้องลงมือทั้งการทูตการทหาร รุกล้อมให้พ่ายแพ้โดดเดี่ยวจากโลกสากล แล้วให้ชาวเขมรลุกฮือล้มล้างไปเองในที่สุด การปิดด่านต้องปิดแน่นต่อไป ถือเป็นแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจ ส่วนรั้วลวดหนามนั้นรื้อไม่ได้ เติมกล้องวงจรปิดและลาดตระเวนลงไปอีก...”
ที่สำคัญ “แก้วสรร” ชี้ให้เห็นปัญหาใหญ่ และต้องใส่เกมรุกอย่างเต็มอัตราศึกถึงจะเอาอยู่ ว่า
“ถาม ทุกวันนี้ ฮุนเซน จนมุมลงทุกวัน คนเขมรรู้แล้วว่าพาคนไปตายมากมาย ข้าวของแพง ฐานะการเงินการคลังตกต่ำหนี้ท่วม เงินเรียลไร้ค่า ฝ่ายต่อต้านเริ่มก่อตัวปล่อยกระแสโจมตี ถึงจุดหนึ่งฮุนเซ็นก็ต้องทุ่มกำลังก่อสงครามใหญ่กับไทยเพื่อแก้วิกฤตจนได้
ตอบ นี่คือเรื่องที่น่าวิตกที่สุดในวันนี้ ถ้ารักสันติจริง ต้องปิดด่านให้แน่น สินค้าจำเป็นที่เล็ดรอดไปลาวแล้วเข้าเขมรต้องถูกสกัด การทูตเชิงรุกต้องสปีดเต็มตัว ดันคดีฮุนเซ็นเป็นอาชญากรสงครามเข้าศาลระหว่างประเทศให้ครึกโครม คดีวางกับระเบิดผิดอนุสัญญาอ๊อตตาวาก็เช่นกัน จากนั้นรุกเข้าเวทีอาเซียนรายงานการสะสมเสริมกำลังของเขมร ถึงชาติสมาชิกทุกประเทศ ประกาศดังๆเตือนเขมรถี่เป็นระยะว่าอย่าให้ถึงเส้นแดง ที่จะทำให้เราจำเป็นต้องลงมือก่อนนะ ฯลฯ
เหล่านี้ถ้าทุ่มเททำได้ดี ก็อาจมีผลหน่วงการรุกรานของ ฮุนเซนลงได้บ้าง...”
แน่นอน, ข้อเสนอเหล่านี้ ถ้าจะให้เกิดขึ้นจริง เกิดสันติภาพแบบถาวรหรือสะเด็ดน้ำ ไม่เพียงรัฐบาลต้องเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เป็นหลัก หากแต่ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับทหาร และประชาชนด้วย
คำถามคือ ถ้าดูจากสถานการณ์ทางการเมืองชั่วโมงนี้ เราพร้อมที่จะเริ่มเดินเกมรุกกดดันกัมพูชาขั้น “ฮุนเซน” ยอมจำนนได้หรือยัง เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่เหมือนกัน?







