“ทรัมป์ 2.0 นโยบายเพื่อหาเสียงกับโลกแห่งความเป็นจริง”

ทุกรัฐบาลของสหรัฐจะต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้ภายใน 100 วันแรก เรามาประเมินผลอีกครั้งประมาณกลางเดือนพฤษภาคมว่า Trump 2.0 จะลุยทำอย่างที่หาเสียงไว้ หรือจะปรับนโยบายเพื่อสะท้อนกับโลกแห่งความเป็นจริง
Trump 2.0 จะเริ่มต้นเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2025 พิธีสาบานตนและเฉลิมฉลองในกรุงวอชิงตันดีซีซึ่งมีงบประมาณบริจาคกว่า 170 ล้านเหรียญจากผู้ที่มีศรัทธาและหวังผลประโยชน์จะเกิดขึ้นในวันนั้นพร้อมกับทั่วโลกจับตามองสิ่งที่ทรัมป์ได้สัญญาไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะทำทันที ‘ในวันแรกที่ได้รับตำแหน่งกลับเมื่อคืน’
‘คนเข้าเมือง’เป็นประเด็นหัวใจของการหาเสียง
ทรัมป์ประกาศใช้จะใช้นโยบายเฉียบขาดแก้ปัญหาคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งจะจับกุมผู้ที่มีประวัติอาชญากรรมเพื่อเนรเทศออกนอกสหรัฐฯตัวเลขของคนเข้าเมืองที่ไม่ได้รับอนุญาตประเมินโดยรัฐบาลกลางมีประมาณ 11 ล้านคน และในจำนวนนี้ประมาณ 500,000 คนเข้าข่ายจะถูกเนรเทศ และมีข่าวว่าคนต่างด้าวรวมทั้งชาวไทยเป็นจำนวนมากได้เตรียมการหรือเดินทางออกนอกสหรัฐฯแล้ว
อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้วคาดว่าจะเป็นไปได้ยากเนื่องจากไม่มีงบประมาณและบุคลากรเพียงพอ และจะมีกระแสต่อต้านจากหลายฝ่ายซึ่งได้ประโยชน์หรือพึ่งพาแรงงานของบุคคลกลุ่มนี้
ยกเลิกสิทธิ ‘เกิดในอเมริกาได้สัญชาติโดยอัตโนมัติ’ ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมคิดว่าสหรัฐถูกเอาเปรียบโดยชาวต่างด้าวที่แอบใช้ช่องโหว่ทางกฏหมาย(ชาวอเมริกันอายุไม่เกิน 18 ปีจำนวน 19 ล้านคนเกิดจากชาวต่างด้าวที่ไม่มีวีซ่า) การเปลี่ยนแปลงกฎหมายรัฐธรรมนูญต้องใช้คะแนนเสียงสองในสามของรัฐสภา จึงอาจจะไม่เห็นผลในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ยกเลิกนโยบายชายแดนของไบเดนซึ่งทรัมป์ตำหนิว่าไม่รัดกุมเพียงพอ และจะเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นโดยอ้างกฎหมายเฉพาะกิจเรื่องสาธารณสุข ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือสกัดกั้นคนเข้าเมืองสมัยทรัมป์1
จะให้อภัยโทษต่อผู้ที่ถูกจับกุมจากเหตุการณ์บุกสภาเมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ซึ่งเป็นจำเลย 1,580 คนและในจำนวนนี้ 1,270 คนถูกตัดสินว่าผิดจริงในขั้นศาลและกำลังรับโทษอยู่ ทรัมป์มองว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดแต่มีความรักชาติขณะที่กระบวนการยุติธรรมมีหลักฐานชัดเจนว่าทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงและคุกคามต่อประชาธิปไตย
นโยบายต่างประเทศ ‘จะหยุดสงครามยูเครนทันที’ หาเสียงโดยย้ำหลายครั้งว่าจะหยุดสงครามภายใน 24 ชั่วโมง ทรัมป์อ้างว่าตนมีความสัมพันธ์กับผู้นำยูเครนและรัสเซียเป็นพิเศษ และจะให้ทั้งสองคนมาตกลงกันให้ได้ และกดดันให้สมาชิกนาโต้เพิ่มงบประมาณจากเดิม 2% ของจีดีพีของแต่ละประเทศเป็น 3-5% เรื่องนี้เป็นความวิตกกังวลมากด้านความมั่นคงในทวีปยุโรปซึ่งอาจส่งผลถึงความสัมพันธ์กับสหรัฐในระยะยาวและอาจนำมาสู่ความแตกร้าวภายในกลุ่มประชาคมยุโรปโดยสังเกตจากกระแสอนุรักษ์นิยมได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ความแข็งกร้าวต่ออิหร่านและจีน และการทบทวนสนธิสัญญาต่างๆด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจกับหลายประเทศและหลายกลุ่มจะมีผลในทางปฏิบัติอย่างใด อาจต้องรอผลการยืนยันรับรองโดยวุฒิสภาต่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญต่างๆ เช่น ต่างประเทศ กลาโหม การคลัง และพาณิชย์
นโยบายเศรษฐกิจที่ถูกวิจารณ์กันมากคือการใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือสร้างอเมริกาให้เข้มแข็งอีกครั้ง โดยประกาศจะเก็บภาษีจากคู่ค้าสำคัญติดพรมแดนคือเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25%และจะเก็บภาษีจากทั่วโลกในอัตรา10% ยกเว้นจีนที่ 60% และบางครั้งขู่ว่าอาจขึ้นถึง 100%
เรื่องนี้มีปฏิกิริยาตอบโต้จากหลายประเทศแล้ว เช่นเม็กซิโกบอกว่าจะตอบโต้เท่ากันทุกกรณี และแคนาดาจะปรับราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติซึ่งขายให้สหรัฐนำมากลั่นในราคามีส่วนลดพิเศษในปัจจุบันเป็นราคาปกติตามตลาด หลายประเทศก็ส่งสัญญาณว่าจะใช้นโยบายคล้ายกัน บางประเทศประกาศชัดเจนและแสดงความหนักแน่น บางประเทศเลือกใช้วิธีการนุ่มนวลและแอบเจรจาเป็นความลับโดยการล็อบบี้ผ่านคนสำคัญในรัฐบาลใหม่หรือบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับทรัมป์
นโยบายพลังงานควรจับตามองที่การส่งเสริมพลังงานปิโตรเลียมมากกว่าพลังงานหมุนเวียน กฎระเบียบและงบประมาณส่งเสริมหรืออุดหนุนรถEVจะถูกทบทวน ขณะเดียวกันจะเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐเพิ่มขึ้น (น่าสังเกตว่าจะคุ้มต่อการลงทุนหรือจะทำสำเร็จเพียงใด เนื่องจากปีค.ศ. 2023 สหรัฐผลิตพลังงานมากกว่าการบริโภคภายในประเทศอยู่แล้ว)
‘Made in America’ เป็นความพยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าแบบครบวงจรในสหรัฐ เพื่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก (ในทางปฏิบัติแล้วอาจทำได้ยาก เนื่องจากต้นทุนในการผลิตสูงกว่าการนำเข้า และชาวอเมริกันปัจจุบันบริโภคสินค้าที่ผลิตจากต่างประเทศในราคาถูกจนเป็นนิสัยแล้ว)
นโยบายด้านสังคม จับตามองเรื่องการลดความสำคัญของนโยบายเสมอภาคทางเพศ เช่นทรัมป์หาเสียงว่าการแปลงเพศเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะควร และจะห้ามมิให้ชายที่เป็นแปลงเพศเป็นหญิงร่วมแข่งขันในกีฬาประเภทหญิง ประกาศจะยกเลิกนโยบายและตัดงบประมาณในโรงเรียนที่สอนเรื่องความเสมอภาคของกลุ่มชนต่างผิว เชื้อชาติ และประวัติศาสตร์ทางการเมืองต่างๆ
นโยบายต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวของสิ่งที่โลกกำลังหวาดวิตกว่ารัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐภายใต้ผู้นำที่มีบุคลิกของการเปิดประเด็นเชิงรุก ข่มขู่ เจรจาแลกผลประโยชน์คล้ายกับการทำธุรกิจเอกชน และเดายากว่าทิศทางของสหรัฐจะเอาอย่างไรแน่
ซึ่งแตกต่างจากวิธีปฏิบัติและวัฒนธรรมทางการเมืองที่โลกคุ้นเคยกับอเมริกาในฐานะมหาอำนาจอันดับหนึ่งตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านผู้บริหารของสหรัฐในครั้งนี้จะโยงถึงทุกประเทศซึ่งผูกพันกับระบบการเงินการธนาคารที่มีเงินสกุลดอลล่าร์อเมริกันเป็นตัวหลัก ที่ควรจับตามองที่สุดคือความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อ จากการประเมินของไอเอ็มเอฟ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.2% อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ 2.7% และยุโรป 2.2%ในประชาคมยุโรป และ 2.6%ในอังกฤษ และผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันนี้และอีกหลายแห่งได้เตือนว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศเหล่านี้และทุกประเทศทั่วโลกอาจขึ้นสูงอย่างเฉียบพลันภายในปี 2025
หากการใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือต่อสู้กันโดยไม่มีการประนีประนอม สหรัฐอเมริกาอาจจะจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายแข็งกร้าวที่ประกาศไว้เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพของเงินสกุลดอลล่าร์อเมริกันไว้ ก่อนที่จะมีกระแสต่อต้านและตอบโต้ โดยประเทศคู่ค้าซึ่งเป็นทั้งพันธมิตรและฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถูกบังคับให้หาทางออกโดยการสร้างระบบทางเลือกหรือระเบียบโลกแบบใหม่
ทุกรัฐบาลของสหรัฐจะต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้ภายใน 100 วันแรก เรามาประเมินผลอีกครั้งประมาณกลางเดือนพฤษภาคมว่า Trump 2.0 จะลุยทำอย่างที่หาเสียงไว้ หรือจะปรับนโยบายเพื่อสะท้อนกับโลกแห่งความเป็นจริง สหรัฐมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปในเดือนพฤศจิกายนค.ศ. 2026 ซึ่งเสียงข้างมากของวุฒิสภาและสภาผู้แทนขึ้นอยู่กับผลงานของทำเนียบขาวชุดใหม่นี้ครับ