2 พรรคหนุนเลิก MOU43-44 ทหารนำการเมือง-สร้างสมดุล ปิดจ็อบชายแดน

‘เนชั่น กรุ๊ป’ จัดดีเบต 2 พรรค 'รทสช.-เศรษฐกิจ' หนุนเลิก MOU43-44 หนุนทหารนำการเมือง ส่วน ทสท.ชี้ 3 พันธกิจสำคัญปิดจบสงครามชายแดน สร้างสมดุลทางยุทธศาสตร์
KEY
POINTS
- พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคเศรษฐกิจประกาศจุดยืนชัดเจนให้ยกเลิก MOU 43 และ 44 ทันที โดยชี้ว่าทำให้ไทยเสียเปรียบและเสียอธิปไตยทางทะเล
- ส่วน พล.ท.ภราดร พัฒนาถาบุตร ตัวแทนพรรคไทยสร้างไทย มองว่า MOU44 น่าจะยังพอไปต่อได้ แต่ต้องแก้ไขหลายจุด
- นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เสนอแนวทางให้ "ทหารนำการเมือง" ในสถานการณ์ความขัดแย้ง โดยรัฐบาลต้องทำหน้าที่สนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ชัยชนะ
- พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ เสนอให้ไทยสร้างสมดุลทางยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจสหรัฐฯ และจีน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568 “เนชั่น กรุ๊ป” จัดเวทีดีเบตแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมือง “จุดเปลี่ยนประเทศไทย Special” ในหัวข้อ “ส่องวิสัยทัศน์นโยบายความมั่นคง” เชิญ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ประธานยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง แคนดิเดตนายกฯพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกฯพรรคเศรษฐกิจ และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้า และแคนดิเดตนายกฯพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
โดย พล.อ.รังษี กล่าวถึงถ้าวันนี้เป็นนายกฯ สถานการณ์ไทย-กัมพูชาจะจบอย่างไร ว่า ตนจะใช้ปฏิบัติการทูตเชิงรุก คือกัมพูชาโกหกคนทั้งโลก และตัวเอง เราจะต้องใช้ทางการทูตชี้แจงเวทีนานาชาติ โดยใช้หลักฐานการบันทึกภาพทั้งหมด เพราะเราทราบอยู่แล้วว่ากัมพูชาเริ่มก่อนทุกครั้ง นอกจากนี้จะใช้ปฏิบัติการเชิงรุกทางทหาร แบบที่กองทัพได้ดำเนินการอยู่ กองทัพบกเอาอธิปไตยที่กัมพูชารุกล้ำกลับมา ตอนนี้เราทำได้เกือบ 100% แล้วเหลือเก็บรายละเอียด ส่วนกำลังทางอากาศเราทำลายจุดยุทธศาสตร์ ไม่ว่าคลังอาวุธ คลังน้ำมัน เส้นทางคมนาคม รวมถึงแหล่งซ่องสุมกำลัง เช่น ตึกกาสิโน วันนี้เรารุกเข้าไปถึง 100 กิโลเมตร ทำให้กัมพูชาสิ้นศักยภาพทางการทหาร เราต้องเดิน 2 ทาง วันนี้กองทัพมีบทเรียน เราจะทอดทิ้งกองทัพไม่ได้ ปฏิรูปกองทัพให้แข็งแกร่ง มีอาวุธรักษาอธิปไตยได้ ถือว่ากองทัพบรรลุภารกิจ
พล.อ.รังษี กล่าวอีกว่า เราเห็นอยู่แล้วการประชุม GBC กัมพูชาไม่มีความจริงใจในการเจรจา ส่งหนังสือให้ รมว.กลาโหม เราแล้วปฏิเสธว่าไม่ใช่ แสดงว่าวันนี้เรายังไม่ถึงจุดบีบคั้นกัมพูชาให้สุดทาง จุดสุดท้ายคือตัวฮุน เซน หรือฮุน มาเน็ต โทรมาคุยกับนายกฯเราเอง เพื่อขอเจรจา นี่คือสิ่งที่สรุปได้ว่าการรบสิ้นสุด
ส่วน พล.ท.ภราดร กล่าวว่า อย่างไรก็ต้องรบไปคุยไป เพราะจุดจบของการเผชิญหน้าไทย-กัมพูชา มันต้องจบ 3 พันธกิจ คือพันธกิจทางทหาร จัดระเบียบความมั่นคงชายแดน และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปิดจบอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่แน่นอนสำคัญสุดในสถานการณ์นี้ คือปิดจบพันธกิจทางทหาร หมายความว่า เราต้องจัดการต่อบัญชีเป้าหมาย คือศูนย์สั่งการ ฐานยิง คลังอาวุธ ฐานเสบียงต่าง ๆ ของกัมพูชา วันนี้การรุกของเราต้องตระหนักและท่องเลยว่า ไทยถูกรุกราน เราป้องกันตนตามกฎบัตรสหประชาชาติ เรายึดพื้นที่เราคืน บางครั้งต้องเอาพื้นที่กัมพูชาบ้าง แต่เป็นหลักป้องกันตนล่วงหน้า เพราะเป็นที่ตั้งยิง ศูนย์สั่งการของคุณ เราก็ต้องจัดการพื้นที่เป้าหมายเหล่านี้
ปัจจุบันสถานการณ์สุดท้ายร่วม 100% แล้ว เรียกว่าสถาปนาพื้นที่ความมั่นคงชายแดนได้ แต่คำว่าสถาปนาหมายความว่าต้องรักษาให้ได้ ยึดแล้วต้องรักษาให้ได้ ตอนนี้เรายึดแล้วรักษา พอทางทหารได้ ต้องจัดระเบียบความมั่นคงชายแดน ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ศูนย์อพยพลี้ภัย สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน แล้วปิดจบที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ใช่คุยแค่กัมพูชา ต้องคุยทั้งอาเซียน และสหประชาชาติ ต้องทำสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เหนือชั้นกว่ากัมพูชา ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง
พล.ท.ภราดร กล่าวอีกว่า เขาจะจบเพราะเราเหนือกว่า จำยอมต้องจบ แต่เราก็ต้องมีทางออก เพราะตอนนี้ที่มีปัญหาคือเรื่องการหยุดยิง แต่เขายังไม่หยุด เพราะไม่อย่างนั้นบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ เนื่องจากแพ้สงคราม ฉะนั้นตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่กระทรวงการต่างประเทศของเรา และกองทัพ หาช่องทางให้เขาลงได้ แต่ขั้นต้นหยุดยิงก่อน แต่การหยุดยิงจะจบได้ ต้องพันธกิจทางทหารเหนือชั้นกว่า ตอนนี้ GBC คุยอย่างไรก็ยากลงเอย เพราะจะไปบอกให้เขาหยุดยิงเองคงยาก
ขณะที่นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงกรณีจะทำอย่างไรให้คนไทยได้ประโยชน์สูงสุด ท่ามกลางสภาวะความขัดแย้งดังกล่าว ว่า สถานการณ์แบบวันนี้ คำถามที่ถามว่าถ้าเป็นนายกฯจะทำอย่างไร มันเลยมาไกลมากกับการเจรจา ทางกองทัพเขาเดินหน้าไปไกลแล้ว และสถานการณ์ที่เกิดพูดง่าย ๆ ไม่ใช่เป็นการปะทะกันเหมือนอดีตที่เกิดขึ้น นี่คือใกล้เคียงการรบเต็มรูปแบบ มีการสนธิกำลังกัน 3 เหล่าทัพ ใช้อาวุธหนัก ในสถานการณ์นี้ต้องให้กองทัพนำหน้า เราต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน 1.ด้านการทหาร 2.หน้าที่รัฐบาล
สำหรับนโยบายทหารของ รทสช.คือ ให้เขาเดินหน้าเต็มที่ ต้องได้ชัยชนะ ทำให้ฝั่งตรงข้ามสิ้นสภาพ และไม่มีสถานะเป็นภัยคุกคามกับเราได้อีก ตรงนี้รัฐบาลไม่ใช่สั่งกองทัพ แต่กองทัพจะรู้เองว่าแค่ไหนเพียงใดพอ ส่วนรัฐบาลต้องสนับสนุนกองทัพทำเต็มที่ ขาดเหลืออะไรต้องสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ หรือยุทธปัจจัยทุกด้าน ต้องเตรียมความพร้อมสนับสนุนเขา
อีกทางหนึ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือต้องทำเรื่องระหว่างประเทศให้มากขึ้น วันนี้ดีขึ้น แต่ยังไม่พอ เราไม่เคยคิดว่าจะต้องอยู่ในสถานการณ์มานี้ ที่ผ่านมาเราเป็นคนดีเสมอ เพราะฉะนั้นวันนี้หยุดเป็นคนดี การเมืองต้องส่งสัญญาณที่ถูกต้อง อะไรที่คิดว่าเป็นเรื่องทางการทหาร อย่าไปแทรกแซง อย่าไปยุ่ง คิดว่าสถานการณ์วันนี้ถ้าตนเป็นนายกฯ จะเดินหน้าเต็มที่ ส่วนตนจะสนับสนุนทุกอย่าง
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตนเป็นห่วง และคิดว่ายังไม่ค่อยดำเนินการ คือกองทัพเรือ เราพูดกันทั้งหมดคือเส้นเขตแดนบนบก แต่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด และเราควรใช้ยุทธการครั้งนี้ ดำเนินการให้จบเช่นเดียวกัน คือเส้นเขตแดนในทะเล ตรงนั้นไม่ใช่แค่เขตแดน แต่คือพลังงานของประเทศใต้ท้องทะเล สิ่งที่เราต้องส่งเสริม จะเพิ่มขีดความสามารถให้กองทัพเรือทันที และตระเวนลากเส้นเขตแดนในทะเล เพราะเส้นนี้เราใช้เส้นถูกต้องตามหลักสากล เขาใช้เส้นตามที่เขาอยากขีด เป็นปัญหานี้มาตั้งแต่ปี 2516 มาวันนี้ปี 2568 กว่า 52 ปีที่เราไม่สามารถพัฒนาตรงนั้นได้ ถ้าตรงนั้นเป็นของเรา ใช้โอกาสนี้ให้กองทัพเรือยึดเส้นเขตแดน และประกาศว่าเลิก MOU44 เพราะ MOU44 คือการให้เจรจาพัฒนา จะทะเลาะทำไม นี่แผ่นดินเรา ไม่ต้องเจรจา ตรงนี้ต้องเป็นของเรา 100%
ถามถึงประเด็น MOU43-44 จุดยืนเป็นอย่างไร พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ขณะนี้เป็นสงครามลูกผสม กำลังรบทางทหารระดับหนึ่ง แต่มีมติอื่นไม่ว่าจะเป็นล็อบบี้ยิสต์ เฟกนิวส์ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ปฏิบัติการทางการทูต ก็มาสัมพันธ์หมด วนกลับมาแล้วเรื่อง MOU43-44 ว่าอย่างไร ต้องยอมรับหลักการก่อนคือ ความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ไม่ให้ประเทศอื่นมายุ่ง แต่ข้อเท็จจริงกลายเป็นสหบาทาเข้ามาร่วม ในหลักการมันดี มันใช้เวลามายาวนานมาก เราไม่เคยละเมิด คนละเมิดคือกัมพูชา แต่พอครั้งนี้สหรัฐฯเข้ามา น่าจะลงตัว แต่ยังรบราฆ่าฟันกันอยู่ ในหลักการมันใช้ได้ ดูพัฒนาการเชิงบวกฝั่งบก เริ่มยอมรับการใช้เรดาร์ ทำแผนที่ทางอากาศ อันนี้มีโอกาสลงตัว ถ้าพัฒนาตรงนี้ เขตแดนชัดเจน ใช้อีกไม่กี่เดือนปิดจบ
แต่มา MOU44 ทางทะเล ตราบใดเป็นแผนที่ 1:200,000 หรือ 1:50,000 ไม่ยอมใช้กติกาสากล แต่ไทยยึดกรอบเจนีวา แต่กัมพูชาไม่ยอมรับ ไม่มาลงนามปฏิญญาร่วม ต้องดูกันต่อไปว่า ตรงนี้มีพัฒนาไปถึงกติกา Unclos หรือไม่ ถ้าถึงก็ปิดจบได้ แต่จะยากมาก ๆ เพราะกลายเป็นการแบ่งผลประโยชน์ไปแล้ว คนได้สัมปทานคือมหาอำนาจ ยังเป็นความยากลำบากอยู่ ตอนนี้ตรึงไว้ก่อน การเลิก MOU ไม่ใช่ยุ่งยาก เลิกฝ่ายเดียวได้ แต่ถ้าเลิก ต้องมีกติกาข้อตกลงกันก่อน ค่อยไปเลิกอันเดิม เพราะ MOU43 เป็นบวก คาดหวัง MOU44 อาจเป็นบวกได้ แต่ยังไงต้องปิดจบ โอกาสเลิกสูง เพราะไม่อย่างนั้นเขาได้เปรียบ เขาดื้อด้าน มันก็ต้องปิดจบด้วยพันธกิจทางทหาร การรบที่ไม่ใช่กำลังอาวุธแล้ว สู้ในทุกมิติ ปิดจบเรื่องกระทรวงการต่างประเทศ
“ถามว่า MOU43 พอไปได้ แต่ MOU44 ต้องตุ๊ยไปก่อน หาอะไรมาแทน เพราะเราต้องการยึดทวิภาคี ไม่ให้ประเทศอื่นมาแทรกแซง แต่ตัวปัญหาคือแผนที่แนบท้าย ถ้าแก้ตรงนี้จบ ก็ปิดจบได้” พล.ท.ภราดร กล่าว
ด้านนายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนไม่สนมหาอำนาจ เพราะนี่คือประเทศไทย อธิปไตยไทย ยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจการค้าสำคัญ แต่ประเทศชาติ ความเป็นอยู่ของไทยสำคัญกว่าอื่นใด จะไม่ยอมให้เรื่องเศรษฐกิจการค้า มาเหนืออำนาจอธิปไตยของประเทศ และจะไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติมหาอำนาจ ถ้าสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ เกิดขึ้นในประเทศมหาอำนาจ เขาจะยอมหรือไม่ ขนาดไม่เกิดของเขา เขายังไปบุกทั่วโลกไปหมด เคยเห็นหรือไม่ ถ้าคนเขาบาดเจ็บ เดือดร้อนหรือไม่ เราต้องยอมเขาเหรอ ตนไม่มีวันยอม
“ถามว่า MOU43-44 ไทยได้อะไร ถ้าไทยไม่ได้อะไร เก็บไว้ทำไม เริ่มที่ MOU44 เห็นว่าเราถูก เขาอ้างเส้นที่กฎหมายไม่ยอมรับ ทำไมต้องยอมรับความเกเรของเขา ทำไมเรายอมรับ ให้เขาจบเรื่องนี้มา 52 ปีแล้ว เราไม่สามารถใช้แหล่งพลังงานของเรา รอวันนี้มานาน วันที่เราต้องประกาศเอกราชทางทะเล นี่คือเส้นเราที่ถูกต้อง อย่ามายุ่งกับเรา ใช้เส้นนี้ยึดเลยว่า ไม่ต้องมาพูดอีกแล้วถึงเส้นนั้น เราได้เดินหน้าพัฒนาพื้นที่ใต้ท้องทะเล ไม่ต้องแบ่งกับเขา” นายพีระพันธุ์ กล่าว
ส่วน MOU43 เป็นเรื่องปัญหาบนบก มีการเจรจาเรื่องเขตแดนชัดเจน แบ่งระหว่างไทย-กัมพูชามาตั้งแต่ 2450 ร้อยกว่าปีแล้ว เสร็จแล้วมีการปักหลักเขตทุกหลัก จนถึงหลัก 73 ก่อนลงทะเลมาเรียบร้อยแล้ว ในสนธิสัญญากำหนดแล้วว่าหลักไหน เว้นแต่บนเขาใช้สันปันน้ำ ในนั้นบอกอยู่แล้ว ทำไมไม่เอาข้อตกลงเดิม มาเจรจาใหม่ทำไม สมมติเกิดไปเจรจา แล้วมันผิดเพี้ยนไปจากเดิมที่เคยอยู่ในสนธิสัญญา ถ้าแผ่นดินหายไป ใครรับผิดชอบ การทำแผ่นดินหาย ผิดอาญาข้อหากบฏ จะไปเจรจาได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นทุกเรื่อง MOU หมดสิ ไม่ต้องมี MOU ก็เจรจากันได้ คุยกันได้ แต่มีอะไรทำให้เราเอะอะโดนอ้างหรือไม่ จริง ๆ ก่อนเซ็นปี 2543 เขาเคยแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเราหรือไม่ เขาผิดมา 600 กว่าครั้งแล้ว เราจะเชื่อคนที่โกหกเรามา 600 ครั้งเหรอ ถ้างั้นเริ่มใหม่ดีกว่า ยืนยันนโยบาย รทสช.ยกเลิก MOU43-44
ขณะที่ พล.อ.รังษี กล่าวว่า ถ้าตนมีโอกาสรับผิดชอบทางความมั่นคง จะทำหนังสือ 2 ฉบับ ถึง UN 1 ฉบับ ถึง กต.กัมพูชา 1 ฉบับ ยกเลิกทันทีทั้ง MOU43-44 โดยมีเหตุผล เรื่องการละเมิด 600 กว่าครั้ง การรบ 2 ครั้งที่ผ่านมา กัมพูชาเป็นการรุกก่อน การวางทุ่นระเบิดมีแต่วางเพิ่ม ไม่ได้กู้ แต่จะมีเงื่อนไขว่า เราจะทำ MOU ฉบับใหม่กับกัมพูชา ภายใต้เงื่อนไข 1.คือยึดถือแผนที่ 1:50,000 2.กัมพูชาต้องสมัครสมาชิก Unclos เพื่อใช้กติกา หลักฐานอ้างอิง ปักปันเขตแดนทางบกทางทะเล เป็นมาตรฐานสากล เพราะวันนี้ MOU43-44 ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว เซ็นมา 24 ปีแล้ว สิ่งนี้ตัดสินให้คนไทยเห็นแล้วว่า เกิดการรบพุ่งกัน เพราะถือแผนที่ ถือกติกาคนละแบบ ถ้าพรรคเศรษฐกิจได้เป็นรัฐบาล MOU43-44 ออกทันทีภายใน 1 สัปดาห์ แล้วมาร่าง MOU ใหม่ภายใต้เงื่อนไขกติกาสากล อันนี้จบ ส่วนเขาจะยอมหรือไม่ ไม่รู้ ตนยื่นไปแล้วให้ MOU43-44 เป็นโมฆะ
เมื่อถามว่าปัจจุบันนานาชาติเหมือนจะไม่เข้าข้างไทยในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะพูดอย่างไรให้นานาชาติเข้าใจเรื่องความมั่นคงชายแดน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองที่มาอย่างนี้ เพราะเราไม่มีความชัดเจนและเด็ดขาดเรื่องนี้ ตนยื่นเลย เพราะร่างหนังสือเรียบร้อยแล้ว ในกรณีนี้ เมื่อกี้พูดในคำถามที่ว่าเราต้องทำยุทธศาสตร์การทหาร ให้ทหารนำหน้า แต่รัฐบาลสนับสนุน และนำหน้าด้านการเมืองระหว่างประเทศ ที่ผ่านมาพูดตรง ๆ กต.เราดำเนินการด้านนี้ ให้คะแนนติดลบ แต่ยุคนี้ดีขึ้น แต่ยังไม่พอ เพราะเรายังเดินเกมแบบคนดี ถ้าเราไม่มียุทธศาสตร์ด้านนี้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เวลามาโอดครวญ เราเป็นรัฐบาล เราต้องเป็นคนนำ คนรุก ไม่ใช่ให้คนเห็นว่ารัฐบาลยังโอดครวญ รัฐบาลต้องเป็นผู้นำ ชี้ให้เห็นเลยว่าจะทำอะไรในเวทีโลก มาเป็นดาวพระศุกร์อยู่แบบนี้ ใช้ไม่ได้
“ไม่ใช่ไม่เป็นคนไม่ดี เราต้องเป็นคนดี แต่ในเชิงปฏิบัติการต้องไม่สุภาพบุรุษ สมมติเป็นคนดีในสนามรบ ต้องรอให้เขายิงก่อนหรือไม่ อย่างนี้ถูกหรือไม่ เพราะฉะนั้นคำว่าเป็นคนดี อะไรที่จำเป็นต้องทำ ก็ต้องทำตามสถานการณ์ ต้องเป็นคนดีในหลักการที่ถูกต้อง รบบนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่รบแบบกองโจร ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำแบบนี้ เรายอมเขาอย่างเดียว เขาถึงได้ใจ และความจริงอยากบอกว่า เหตุการณ์นี้ เริ่มต้นพัฒนาความขัดแย้งมาตั้งแต่ 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของเขา ก็เลยเริ่มเกิดปัญหามาตลอด 63 ปี ที่เราทำตัวเป็นหมาน่ารัก สุนัขน่ารักของกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่เขาควรเกรงกลัวเรา แต่เมื่อไหร่หยิบยกมา เราก็ยอมตลอด อ้างว่าเป็นคนดี อย่างนี้ใช้ไม่ได้” นายพีระพันธุ์ กล่าว
ส่วน พล.อ.รังษี กล่าวว่า เราทำตัวเอง เราสร้างสมดุลทางยุทธศาสตร์ไม่เป็น และมีผู้สมคบคิดในประเทศที่ไปรวมหัวกับกัมพูชา เพราะฉะนั้นวันนี้ ต้องยอมรับว่าเรามีมหาอำนาจ 2 ขั้วในโลกนี้จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่มหาอำนาจขั้วเดียวแบบสงครามเย็น คือ 1.สหรัฐฯและนาโต้ 2.จีนและรัสเซีย วันนี้ต้องสร้างสมดุลทางยุทธศาสตร์ให้ได้ สิ่งที่เราพลาดสุด ๆ คือเราไปเสียสมดุลทางยุทธศาสตร์ เพราะเราไปเซ็นสัญญาอินโดแปซิฟิกเมื่อปี 2562 สัญญานี้มีผลทำให้เราเอียงไปด้านสหรัฐฯ เพราะสัญญานั้นบอกว่าจีนเป็นภัยคุกคาม ถ้าสหรัฐฯประกาศสงครามกับจีน เราต้องร่วมกับสหรัฐฯ แต่พรรคเศรษฐกิจมีนโยบาย 2 ข้อสร้างสมดุลทางยุทธศาสตร์กลับมา 1.การต่อรถไฟความเร็วสูงจากเวียงจันทร์ มาหนองคาย แล้วต่อไปทั่วภูมิภาค 2.การสร้างโอเชี่ยนลิงก์ เพราะช่องแคบมะละกาอยู่ภายใต้อิทธิพลตะวันตก เพราะฉะนั้นต้องเราสร้างช่องแคบทางผ่านทางทะเล เชื่อมมหาสมุทรอินเดียแปซิฟิกไป อันนี้เป็นประโยชน์กับเอเชีย
“ต้องไม่ยอมหน่อมแน้ม ให้ใครมาสร้างฐานทัพในไทยเป็นอันขาด ไม่ว่ามหาอำนาจขั้วไหน ใช้การทูตเชิงรุก ในสหประชาชาติเราต้องกล้าตอบโต้กัมพูชา ที่ไปเล่าความเท็จให้นานาชาติฟัง เราต้องสั่งการ เอาพยานหลักฐานไปตอบโต้ วันนี้สื่อมี 2 ค่าย เราต้องออกทั้ง 2 ฝ่าย ให้คนรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วตอบโต้ทันที สงครามครั้งนี้เป็นไฮบริดวอร์แฟร์ สงครามข่าวสารเราก็ต้องสู้ สงครามเศรษฐกิจ เราก็ปิดด่านไว้อยู่แล้ว สงครามการใช้อาวุธ เราล้อมกรอบจนกัมพูชาหายใจไม่ออก ที่ยิง BM-21 มามั่ว ๆ คือการหายใจเฮือกสุดท้ายของฮุน เซน” พล.อ.รังษี กล่าว
ส่วน พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ต้องเข้าใจโจทย์ปัจจุบัน ภัยคุกคามที่เรากำลังเผชิญอยู่ มีปัจจัยหลัก 2 ภัยคุกคาม 1.มิติใหม่อาชญากรรมข้ามชาติ 2.ผลพวงยุทธศาสตร์มหาอำนาจ จากสงครามเย็น มาเป็นภูมิรัฐศาสตร์ แสวงหาทรัพยากรในพื้นที่ เพื่อสร้างความมั่งคั่งของตน เราเจอผลพวงอันนี้ จึงเป็นที่มาของ “แรร์เอิร์ธ” สงครามไฮบริด การรุกแบบใหม่ไม่ต้องใช้อาวุธ ใช้ภาษีทรัมป์ ในด้านสงครามเราเหนือกว่ากัมพูชาอยู่แล้ว ลำดับ 25 ของโลก อีกฝั่ง 100 กว่า แต่ทำไมถึงยืดเยื้อ เพราะเป็นไฮบริด มีล็อบบี้ยิสต์ ไอโอ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยุ่งไปหมด การเซ็นยุติไป แต่ทำไมไม่ยุติ
“อย่างไรเราต้องอยู่ในประชาคมสหประชาชาติ ตรงนี้เป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลต่อไป กองทัพไม่น่าห่วง แต่ กต.ต้องขั้นเทพ ต้องปิดจบทุกพันธกิจ ถ้าไม่สน เราเจอภาษีทรัมป์ 90% เราไปได้หรือไม่ นั่นคือโลกความเป็นจริง แต่เราต้องยืนบนหลักความชอบธรรม เอาหลักฐานไปโชว์ว่าเราถูกรุกรานก่อน” พล.ท.ภราดร กล่าว
ส่วนเรื่องการจัดการสแกมเมอร์ ที่เราน่าจะมีบทบาทระดับโลก สามารถนำมาใช้เป็นข้อได้เปรียบได้หรือไม่ พล.อ.รังษี กล่าวว่า วันนี้จีนให้เส้นเงินมาแล้ว บอกรายชื่อแล้วมีทั้งข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ สหรัฐฯก็ส่งรายชื่อมาให้ เกาหลีใต้ก็เอามาให้ วันนี้เรามีหน้าที่อย่างเดียว ตามไล่กระทืบพวกสแกมเมอร์ในเมืองไทย ไม่มีอะไรมาก ยึดอายัดเงิน ดำเนินคดีสอบสวน ถ้าตอบไม่ได้ก็ติดคุก แต่ทุกวันนี้ที่ทำไม่ได้เพราะอะไร ตนเชื่อว่ามีสแกมเมอร์ไทยคอยช่วยเหลือพวกนี้อยู่ ลองคิดดู เราอายัดเงินแปบเดียว รูปออกมาเต็มเลย การส่งรูปมาคืออะไร มาเตือนว่า ถ้าไม่ช่วย เดี๋ยวจะมีรูปอัปเดตมา ส่งรูปเก่ามา 10 ปีให้แก้ตัวกันก่อน สักพักมีรูปอัปเดตมาเพิ่มอีก ถ้าจับเพิ่ม แต่ถ้าพรรคเศรษฐกิจเข้าไปดำเนินการ ตนจับเรียบ เพราะตนไม่มีรูปกับพวกสแกมเมอร์กัมพูชา ทหารอย่างตนลงทุนมาเล่นการเมือง ยอมโดนด่า ต้องเอาประเทศนี้ให้รอดในรอบนี้ ไม่มาเหนื่อยฟรี การเมืองไทยมีทั้งใส่ร้าย ด่าลับหลัง ไอโอรุมกระหน่ำ แต่ตนไม่สนใจ ประชาชนตัดสินได้ เพราะโลกโซเชียล และสื่อให้โอกาสพูดให้ประชาชนฟัง
พล.ท.ภราดร กล่าวว่า สแกมเมอร์0tปิดจบอย่างไรมี 2 ปัจจัย 1.ปัจจัยภายนอกประเทศ เพราะเราแหลมในอธิปไตยกัมพูชาไม่ได้ ทั้งที่เป็นฐานหลัก 2.ปัจจัยภายใน เราต้องมาซัดเอง ปัญหาสแกมเมอร์ไม่ขยายตัวหรอกถ้าไม่มีไทยเทา พวกจีนเทาจิ๊บ ๆ แต่เลอะเทอะคือไทยเทา ไม่ขาวซักที จะจัดการสแกมเมอร์ได้อย่างไร ต้องจัดการไทยเทาให้ได้ก่อน ด้วยความเด็ดขาด ตอนนี้เขายึดเงินได้หมื่นกว่าล้าน จับตาดู 90 วันจะยึดได้เท่าไหร่ โผล่มาดีไม่ดี ยึดแค่ 10 กว่าล้านบาท ปัจจัยภายในเรามีศักยภาพได้ แต่ภายนอกปิดจบอย่างไร ถึงเป็นที่มาบิ๊กคลีนนิ่งประเทศไทย การเลือกตั้งคราวนี้กำหนดชะตากรรมประเทศเลยนะ ขาวกับเทา ถ้าเลือกเทาจบที่ดำ ชะตากรรมประเทศนี้ Failed State เลย การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก ส่วนปัจจัยภายนอกพี่ใหญ่สหรัฐฯ กับจีนไปจัดการต่อได้
ส่วนนายพีระพันธุ์ มองว่า ปัญหาสแกมเมอร์ที่กำลังรุกลามและใหญ่โตตอนนี้ ไม่ใช่ปัญหาที่ไทย เพราะเขาหลอกไปทั่วโลก ปัญหานี้ในมุมตนมันเป็น 2 ด้าน 1.ด้านนอกประเทศ 1.ในประเทศ โดยในประเทศเรา อะไรคือสแกมเมอร์ คือการหลอกลวงประชาชน โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือโดยอะไรก็แล้วแต่ ค่อย ๆ พัฒนามาจากคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มีความลึกลับซับซ้อนมาก ประเด็นสำคัญเราบอกให้ตำรวจไปจับ ตำรวจที่ดีไปจับมา ลงโทษข้อหาอะไร วันนี้มีกฎหมายหรือไม่ ทำไมวันนี้ยังไม่มีกฎหมายเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ตนร่างกฎหมายนี้กับมือ เสนอเป็น พ.ร.ก.ทันที ที่เป็นรัฐบาล
ส่วนข้าราชการไม่ดี ไทยเทา ตำรวจเทา เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องมีโทษเช่นเดียวกัน ต้องโทษประหารชีวิต ใครอยากช่วยช่วยไป โดนคดีคุณเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนี้ มีโทษเช่นเดียวกับตัวการ ถ้าเราไม่มีกฎหมายแบบนี้มาก่อน เปล่าประโยชน์ แต่สถานการณ์วันนี้ ไม่มีวันจบ เพราะเขาทำมาจากต่างประเทศ คือประเทศที่กำลังมีปัญหากับเรา ทุกอย่างอยู่ที่นั่น อันนั้นต่อให้มีกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่กำลังเกิด ถือโอกาสนี้ทำลายรังสแกมเมอร์ให้หมดสิ้น ต้องเลิกขายไฟให้เขา เลิกส่งยุทธปัจจัยให้เขา เลิกส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้เขา ใครส่งไปถือว่าเป็นเครือข่ายสแกมเมอร์ โทษประหารชีวิตเช่นเดียวกัน







