ไพ่ใบสำคัญ 'ทักษิณ' เดิมพัน 'อุ๊งอิ๊ง' ศึกเลือกตั้ง 66

ไพ่ใบสำคัญ 'ทักษิณ' เดิมพัน 'อุ๊งอิ๊ง' ศึกเลือกตั้ง 66

เลือกตั้ง 66 คงไม่ต้องบอก ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” รัก “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แค่ไหน ยิ่งเชื่อว่า มีหลายอย่างเหมือนตัวเอง ความเข้มแข็งเยือกเย็นเหมือนแม่

คงไม่ต้องบอกว่า “ทักษิณ” คาดหวังสูงแค่ไหน กับการกระโดดลงมาสู่เวทีการเมือง เลือกตั้ง 66 ของ“อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ในฐานะ “ทายาท” ทางการเมือง “ตระกูลชินวัตร” เพื่อสานฝันตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 ของ “สายตรง”

ทุกอย่าง เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ ในการเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองในบั้นปลายของ “ทักษิณ” ชนิดเทหมดหน้าตักก็ว่าได้

แน่นอน, สิ่งหนึ่งที่สะท้อนได้ชัด จากกระแสนิยม “อุ๊งอิ๊ง” ที่พุ่งสูงมาตลอด ก็คือ ความเป็น “ลูกสาว” ของ “ทักษิณ” นั่นแสดงว่า กระแสความรู้สึกของคนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงโหยหา “ทักษิณ” ไม่ว่าจะกลับมาบริหารประเทศเอง หรือ ใช้ “ทายาท” มาเป็นตัวแทน

เพราะอย่าลืม “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร นอกจากความเป็น “ลูกสาวทักษิณ” แล้ว ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ทางการเมือง ยังถูกมองว่า “ละอ่อน” เกินไป ที่จะนั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” หรือ ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็คงไม่มีใครกล้าปลุกปั้นให้เป็นนายกฯ และแม้แต่ “รัฐมนตรี” ก็คงยาก

นี่คือ ประเด็น ที่ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยรู้ดีมาตลอด และเป็นคำตอบว่า ทำไมบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายในพรรคเพื่อไทยจึงยอม และทำไมนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ความรู้ความสามารถไม่เป็นรองใคร อย่าง นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย จึงพร้อมที่จะเป็น “เบอร์ 2” ก็ได้   

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น การปลุกกระแสชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” หรือ “ถล่มทลาย” เพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จากนั้น ก็ตามมาด้วยชนะให้ได้เกินครึ่งของสภาฯ 251 เสียงก่อนจะอ้างโพลของพรรคจะได้ 270 เสียง และเชื่อมั่นว่า จะได้ 310 เสียง มิใช่แค่พูดไปตามเกม

หากแต่ว่ากันว่า โพลที่ “คนดูไบ” มีอยู่ในมือ คือ โพลที่แม่นที่สุด และชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเลข 270 ไม่ใกล้เคียง 310 เสียง รวมทั้งไม่แลนด์สไลด์ด้วย

จึงไม่แปลก ที่แม้ “เพื่อไทย” ประกาศตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่ก็ยังมีกระแสข่าว พร้อมจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จัดตั้งรัฐบาลเพื่อไม่ต้องติด “เงื่อนไข” ส.ว. 250 เสียง มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่อว่า “บิ๊กป้อม” มีส.ว.จำนวนหนึ่งอยู่ในมือ  

กระนั้น ก็ยังไม่แน่ว่า ชัยชนะเลือกตั้งของ “เพื่อไทย” ที่ได้เข้ามาเป็นอันดับ 1 บวกที่นั่งส.ส.ของ“พลังประชารัฐ” และบวก “ส.ว.” ในคาถา “บิ๊กป้อม” จะได้ถึง 376 เสียง เกินครึ่งของรัฐสภา (ส.ส. และ ส.ว.) หรือไม่ เพราะนั่นหมายความว่า ไม่สามารถผ่านการโหวตลงมติเลือก “นายกรัฐมนตรี” ได้เช่นกัน

นี่คือ สิ่งที่ “ทักษิณ” และ พรรคเพื่อไทย กำลัง “ดิ้นพล่าน” แม้มีโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับ 1 ตาม “ผลโพล” ภายในที่อยู่ในมือ “คนดูไบ”?

ดิ้น แม้แต่ “สลัดทิ้ง” เพื่อนร่วมรบในสภาฯ อย่าง “ก้าวไกล” และพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นเพื่อปลุกกระแสเลือกตั้งแบบ “ยุทธศาสตร์” เลือกพรรคที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว คือ “เพื่อไทย” เพื่อเอาชนะฝ่าย “เผด็จการ” หรือ “ปิดสวิตช์ ส.ว.”

ดิ้น “ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว” เพราะไม่ต้องการ“เสียคะแนน”เสียงกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล และไม่เอาขั้ว “เผด็จการ” หรือ หนีกระแสตั้งรัฐบาลผสมกับบางพรรคในฝ่าย “เผด็จการ”

สรุป แม้โอกาสได้ “310 ที่นั่ง” เป็นเรื่องยาก แต่พรรคเพื่อไทย ก็พยายามทำทุกอย่างเดินเกมทุก “กลยุทธ์” เลือกตั้ง รวมทั้งใช้ “จิตวิทยา” ปลุกกระแสที่ยากจะเป็นจริง อย่าง“แลนด์สไลด์ 310 ที่นั่ง” ให้เป็นจริง

แต่ก็ยังไม่มีอะไรหวือหวา หรือ ดึงดูดความสนใจคนไทย จนกลายเป็น “เงื่อนไข” ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเท่านั้นได้  

กระทั่ง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเกียวโด ระหว่างพำนักประเทศญี่ปุ่นขณะนี้ ว่า พร้อมจะรับโทษจำคุกในไทยแลกกับการที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในไทยที่กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะออกมาอย่างไร

“ตอนนี้ผมติดคุกใหญ่มา 16 ปีแล้ว เพราะพวกเขากีดกันไม่ให้ผมอยู่กับครอบครัว ผมทรมานมามากพอแล้ว ถ้าผมต้องไปทนทุกข์ในคุกเล็กอีกก็ไม่เป็นไร แม้มันไม่ใช่ราคาที่ผมจำเป็นจะต้องจ่าย แต่ผมยอมจ่ายเพราะผมอยากอยู่กับหลานๆ ผมควรใช้เวลาที่เหลือในชีวิตกับลูกๆ หลานๆ” นายทักษิณกล่าว และยืนยันว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ใช่ทางเลือกเพื่อกลับบ้าน

เพราะไม่จำเป็น คนที่ต่อต้านจะไม่พอใจ และกฎหมายต้องมีไว้สำหรับคนทุกคน ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว

นายทักษิณให้สัมภาษณ์ด้วยว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งโดยได้ที่นั่งอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของจำนวนที่นั่งทั้งหมด 500 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร เพราะประชาชนเบื่อรัฐบาลที่บริหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแม้พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่ก็ยังต้องการพันธมิตรทางการเมือง และไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับศัตรูทางการเมือง ซึ่งรวมถึงพรรคพลังประชารัฐ แต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย

เมื่อถามถึงผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย นายทักษิณกล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งใน 3 รายชื่อร่วมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสมาชิกพรรคอีกคน เชื่อว่า น.ส.แพทองธารพร้อมสำหรับการแข่งขันทางการเมือง เพราะได้เรียนรู้เรื่องการเมืองจากเขาตั้งแต่อายุยังน้อย(จากมติชน)

ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศครั้งนี้ “ทักษิณ” ย่อมรู้ดีว่า สื่อกระแสหลักในประเทศไทย จะต้องนำมาขยายผล เป็นเรื่องใหญ่ อย่างแน่นอน

นั่นถือว่า เบื้องต้นสำเร็จแล้ว ที่ต้องการสื่อสารกับคนไทย

ประเด็นต่อมา คือการ “โยนหินถามทาง” กระแส “ทักษิณกลับบ้าน” พร้อม “ติดคุก” และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตามความต้องการของคนไทย ฝ่ายที่ยัง “ติดใจ” การหนีโทษ หนีคดีของ “ทักษิณ” คนกลุ่มนี้ ยังพร้อมที่จะให้อภัย ถ้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

รวมทั้ง “ปิดประตู” กลุ่มต่อต้าน นิรโทษกรรมให้ “ทักษิณ” ที่ก่อนหน้านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น ประเด็น โจมตี “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ว่า ต้องการเป็นนายกฯ เพื่อนำ “ทักษิณกลับบ้าน”

ที่สำคัญ “ทักษิณ” ไม่ได้ยอมรับผิด เพียงแต่ยอมชดใช้ แม้ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดหรือ พูดง่ายๆ ก็คือ ยังคงยืนยันว่า ถูกกลั่นแกล้งรังแกทางการเมืองจากผู้มีอำนาจ

เป็นการเรียกคะแนน “สงสาร” จากแฟนคลับคนไทย ที่โหยหาอยู่แล้ว ยิ่งเทความสงสารให้หมดใจ  

ประเด็นนี้สำคัญ ถ้า “ทักษิณ” ทำให้กระแสติดลมบนได้ ด้วยการทำให้การ “กลับมาติดคุก” ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ   อาจกลายเป็นประเด็นที่ปลุกกระแส “คนรักทักษิณ” ให้ตื่นขึ้นมา “สงสาร” และเห็นใจ “ทักษิณ” และพร้อมใจลงคะแนนเลือก “อุ๊งอิ๊ง-เพื่อไทย” อย่าง ถล่มทลาย เพื่อ “ทักษิณ” ก็เป็นได้  

อย่าลืมว่า โทษ และคดีของ “ทักษิณ” เกิดขึ้นจากผลพวงของ “รัฐประหาร” ที่เปิดช่องให้“ทักษิณ” ต่อสู้มาตลอดว่า เขาถูกกลั่นแกล้ง และแฟนคลับ “ทักษิณ” ก็เชื่อ เพราะมีภาพประจักษ์ว่า “ทักษิณ” ถูกรัฐประหาร เมื่อปี 2549

ก่อนถูกตั้งแท่นตรวจสอบ และชี้มูลความผิด จาก “คตส.” (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ - ตั้งโดย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)ในพ.ศ. 2549 ซึ่งมาจากคณะรัฐประหาร)

ดังนั้น ประเด็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็นับว่าน่าสนใจ

โดยชี้ให้เห็น ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง[กรณีคุณทักษิณ : ไม่ติดคุก ไม่นิรโทษ ต้องลบล้างผลพวงรัฐประหาร ดำเนินคดีใหม่อย่างเป็นธรรม] (25 มี.ค.66)

สรุปว่า ถ้า.. หนึ่ง ให้รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการกระทำของ คปค. ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ถึง 30 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ

สอง ให้รัฐธรรมนูญ 49 มาตรา 36 (ซึ่งรับรองให้การกระทำทั้งหลายของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย) ตกเป็นโมฆะ

ทำให้การกระทำทั้งหลายของคณะรัฐประหารถูกโต้แย้งได้ว่าขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

สาม ให้รัฐธรรมนูญ 49 มาตรา 37 (ซึ่งนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร) ตกเป็นโมฆะ

ทำให้ การนิรโทษกรรมรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ สิ้นผลไป เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เมื่อไม่มีการนิรโทษกรรมการรัฐประหาร ทำให้การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน2549 ยังคงมีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา113

เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมย่อมสามารถดำเนินคดีเอาคณะรัฐประหารมาลงโทษได้

สี่ ให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตกเป็นโมฆะ

ห้า ให้เรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณา ที่เกิดจากการริเริ่มของ คตส. ยุติลง

ข้อเสนอทั้งหมดนี้ ต้องทำโดยผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

หากข้อเสนอเหล่านี้สำเร็จ ผลที่ตามมา คือ ดำเนินคดีคณะรัฐประหารได้ทันที

ส่วนคดีความของคุณทักษิณและนักการเมืองอีกหลายคน ที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร 49 ก็ไม่ได้นิรโทษหรืออภัยโทษแต่อย่างใด เพียงแต่ลบล้างคำพิพากษาเหล่านั้นทิ้ง และสามารถดำเนินคดีต่อไปตามกระบวนการปกติ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาและจำเลย...

ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ถ้าจะเอากันถึงขั้น แก้รัฐธรรมนูญ ให้รัฐประหาร 19 กันยายน2549 และการกระทำของ คปค. ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ถึง 30 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ รวมถึง แก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยการกระทำของคณะรัฐประหาร และกฎหมายนิรโทษกรรมการรัฐประหาร เป็น โมฆะ เพื่อให้ “ทักษิณ” พ้นโทษและคดี ที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร

รวมทั้งเปิดช่องให้เอาผิดกับคณะรัฐประหารแทน อย่างที่ “ปิยบุตร” เสนอ อาจยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ต่อให้มีช่องให้ทำได้ก็ตาม

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า การประกาศจะกลับบ้าน แม้ต้องติดคุก ของ “ทักษิณ” เพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายใกล้ชิดกับครอบครัวและลูกหลาน ในทางการเมือง ถือว่า นี่คือ “ไพ่ใบสำคัญ”

เพราะไม่เพียง ลดผลกระทบต่อ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ในการช่วย “พ่อกลับบ้าน” แล้ว ยัง “สยบ” กระแสต่อต้านการ “นิรโทษกรรมทักษิณ” เพื่อกลับบ้านแบบเท่ๆลงได้ด้วย

“ทักษิณ” มักเลือกเล่นเกมที่มีโอกาสชนะ ฉลาด เหลี่ยมคูสูง เสมอ ยิ่ง “เดิมพัน” ด้วย“ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ยิ่งน่าจับตามอง

ส่วนจะกลับมารับโทษ ยอมติดคุกจริง ตามที่พูดหรือไม่? หรือ แค่เรียกคะแนนสงสารช่วย “อุ๊งอิ๊ง” ให้สมหวังได้นั่ง “นายกรัฐมนตรี” เท่านั้น ก็นับว่าน่าคิดเหมือนกัน