'ทักษิณ' คู่เทียบ 'เศรษฐา' กลางสมรภูมิเลือกตั้ง 66

'ทักษิณ' คู่เทียบ 'เศรษฐา' กลางสมรภูมิเลือกตั้ง 66

มาแล้ว “เศรษฐา” มหาเศรษฐี ลุยสลัม ลงทุ่งนา ขึ้นเวทีปราศรัย เข้าสู่โหมดนักการเมืองเต็มตัว ยกแรกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นักบริหารรุ่นใหม่สไตล์ติดดิน แบรนด์นี้ขายได้ทุกตลาด

“เศรษฐา” ไม่ต่างจาก “ทักษิณ” ในวันแรกๆที่สวมหมวกหัวหน้าพรรคพลังธรรมลุยสมรภูมิเลือกตั้ง ปี 2538 เจอทั้งก้อนอิฐ และดอกไม้

เย็นวันเสาร์ที่ 11 มี.ค.2566 ท่ามกลางคนสวมเสื้อแดงเรือนหมื่น ภายในสนามวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรก บนเวทีหาเสียงของพรรคเพื่อไทย

 

\'ทักษิณ\' คู่เทียบ \'เศรษฐา\' กลางสมรภูมิเลือกตั้ง 66

 

เศรษฐา ที่คุ้นเคยเวทีประชุมสัมมนา หรือการแถลงข่าวภายในห้องโถง แต่วันที่ต้องยืนกลางแจ้ง เขาคงตื่นเต้นแต่ก็ไม่มีอาการตื่นเวที เพียงพูดจาไม่เกิน 10 นาที เขาก็ฝากให้โควทคำที่โดนได้

 

 

“วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ผมในฐานะนักธุรกิจที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 30 ปี ต้องก้าวออกมาจากวงการธุรกิจ และมาทำเพื่อบ้านเมือง” และ “8 ปีที่ผ่านมา มันเพียงพอหรือยังครับ ผมว่าพอนะครับ”

หลังลงจากเวทีปราศรัย เศรษฐาได้พูดคุยกับนักข่าวว่า รู้สึกดีใจและซึ้งในที่ได้พบกับพี่น้องประชาชน พร้อมให้คะแนนในการปราศรัยครั้งแรกว่า เกรดบี 7 จาก 10ประมาณนี้


คู่เทียบทักษิณ

“เศรษฐา ทวีสิน” ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ทันทีที่เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์-แสนสิริ ตัดสินใจเข้าสู่ชายคาพรรคเพื่อไทย 

 

\'ทักษิณ\' คู่เทียบ \'เศรษฐา\' กลางสมรภูมิเลือกตั้ง 66

 

ถ้าจำกันได้ ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจโทรคมนาคม ตอบรับคำเชิญของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม พร้อมกับความคาดหวังของผู้คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อย

ผลการเลือกตั้ง 2 ก.ค.2538 พรรคพลังธรรม ภายใต้การนำของทักษิณ มี ส.ส.ได้รับเลือกเข้าสภาฯ 23 ที่นั่ง และการเข้าร่วมกับรัฐบาลบรรหาร ทำให้พรรคพลังธรรมตกต่ำ จนเหลือเพียง 1 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2539

ทักษิณสรุปบทเรียนจากความล้มเหลวในพลังธรรม เริ่มต้นใหม่กับการสร้างพรรคไทยรักไทย จนประสบความสำเร็จทางการเมืองอย่างยิ่งใหญ่ และได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากนักธุรกิจ และไม่ได้เป็นตัวแทนอีลิท เป็นคนแรกของประเทศไทย

จริงๆแล้ว ทักษิณไม่ได้เติบโตในแวดวงอีลิท เหมือนนักธุรกิจชั้นนำก่อนหน้านี้ที่เล่นการเมืองอย่าง พงส์ สารสิน ซึ่งเศรษฐาก็โตมาคล้ายทักษิณ บนถนนสายทุนนิยมไทยยุคหลังสงครามเย็น 

 

มังกรพลัดถิ่น

ทั้ง “ทักษิณ” และ “เศรษฐา” มีบรรพบุรุษเชื้อสายจีนแคะ หรือฮากกาเหมือนกัน โดย คูชุนเส็ง คือต้นตระกูลชินวัตร ที่เดินทางมาจากกวางตุ้ง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยอยู่ที่ จ.จันทบุรี

 

\'ทักษิณ\' คู่เทียบ \'เศรษฐา\' กลางสมรภูมิเลือกตั้ง 66

 

ต่อมา เชียง แซ่คู ลูกชายคนโตของคูชุนเส็ง ย้ายถิ่นฐานไปค้าขายที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ หลังจากนั้น แซ่คูก็ได้เปลี่ยนเป็น ชินวัตร จนมาถึงยุคสร้างเนื้อสร้างตัวของ เลิศ ชินวัตร บิดาของทักษิณ 

ชินวัตรรุ่นนี้ได้ก่อร่างสร้างตำนานไหมไทยชินวัตร แต่เลือดผจญภัยของชินวัตร รุ่น 3 โดยการนำของเลิศ ไม่ได้หยุดแค่ธุรกิจ หากแต่ยังกระโจนเข้าสู่การเมืองท้องถิ่น และระดับชาติ 

เศรษฐา ก็เติบโตมาในตระกูลเศรษฐีปักษ์ใต้คือ ตระกูลยิบอินซอย ที่แตกแขนงไปเป็นตระกูลลายเลิศ,จูตระกูล,จักกะพาก และทวีสิน 

ตระกูลยิบอินซอย เป็นคนเชื้อสายจีนแคะหรือฮากกา มาจากอินโดนีเซีย ยุคเมืองขึ้นดัชต์ทำธุรกิจส่งออกยางพารา แร่ดีบุกในภาคใต้

ทักษิณกับเศรษฐา ก็มีความแตกต่างกันในแง่ประสบการณ์ทางการเมือง และเครือข่ายในระบบอุปถัมภ์ เนื่องจากทักษิณ เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ 

ทักษิณจบจากโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทำให้เข้าใจระบบราชการมาก่อน รู้จุดอ่อนจุดแข็ง ของระบบราชการแบบไทยๆ

นอกจากนี้ เลิศ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อของทักษิณ ยังได้รับเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ ปี 2512 แม้พ่อเลิศจะสอบตกในปี 2518 แต่ก็ฝากทักษิณ เป็นหน้าห้อง ปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ 

 

\'ทักษิณ\' คู่เทียบ \'เศรษฐา\' กลางสมรภูมิเลือกตั้ง 66

เหนืออื่นใด ทักษิณมีพ่อตาชื่อ พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ จึงทำให้ทักษิณมีคอนเนกชั่นเชื่อมกลุ่มอีลิท ผ่านคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์นั่นเอง

 

ขายได้ทุกตลาด

ก่อนหน้าที่มหาเศรษฐี “เศรษฐา” จะตัดสินใจสวมเสื้อครอบครัวเพื่อไทย ก็มีเสียงวิจารณ์จากคนวงนอกว่า จะไหวหรือเปล่า เพราะมีแรงเสียดทานภายในพรรคเพื่อไทยเยอะมาก รวมถึงอำนาจแฝงบ้านจันทร์ส่องหล้า ,บ้านแจ้งวัฒนะ และบ้านดูไบ

นักวิเคราะห์การเมืองบางสำนัก ถึงขั้นประเมินว่า เศรษฐา ขายไม่ได้ในตลาดรากหญ้า เพราะภาพจำของคนภูธรนั้น ยังฝังใจกับแบรนด์นายห้างตราใบห่อ ตระกูลชินวิตร ไม่ว่าจะเป็นทักษิณ,ยิ่งลักษณ์ และแพทองธาร 

มาถึงชั่วโมงนี้ เศรษฐา ทวีสิน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แบรนด์นายห้างแสนสิริ ก็ขายได้ในชนบท เมื่อประเมินจากเวทีหาเสียงที่ จ.พิจิตร และ จ.พิษณุโลก
    

ในสมรภูมิเลือกตั้ง ส.ส. เศรษฐา อาจเป็นคนหน้าใหม่ แต่สมรภูมิธุรกิจหมื่นล้านแสนล้าน เขาคือคนเจนจัดในเกมที่ลงแข่งขัน เขามีประสบการณ์บริหารธุรกิจมาแล้ว 30 ปี 

อาณาจักรแสนสิริ เริ่มต้นจากการมีพนักงาน 7 คน ถึงตอนนี้มีพนักงาน 4,000 คน มีสไตล์การบริหารธุรกิจที่ความเร็ว “ตัดสินใจเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว” ไม่ต่างจากทักษิณ สมัยที่บริหารอาณาจักรชินคอร์ป 

เมื่อก้าวสู่ถนนการเมือง เศรษฐา ทวีสิน จึงตอบคำถามนักข่าวอย่างไม่ลังเลใจว่า เขาต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย 

เศรษฐาเคยให้สัมภาษณ์ว่า หน้าที่หนึ่งของนายกรัฐมนตรี คือ ต้องเป็นเซลส์แมนของประเทศ “ผมว่าเราต้องมีโอกาสในการที่จะไปขายตัวเอง ไม่ใช่อยู่แค่ในที่ของตัวเอง จริงๆ แล้วนายกฯ ต้องเป็นเซลส์แมน ต้องไปเปิดตลาดใหม่”

ดังนั้น เศรษฐา จึงย้ำทุกเวทีที่ขึ้นปราศรัย ทั้งสนามหน้าวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร , อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก และเทศบาลเมืองพิษณุโลก ว่า “8 ปี พอแล้วครับ”


บททดสอบแรกของเศรษฐา บนเวทีปราศรัยใหญ่ ถือว่า สอบผ่าน แบรนด์เขาขายได้ในตลาดรากหญ้า จึงมีความพร้อมที่รับไม้ต่อจาก อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ที่อาจต้องพักผ่อนเมื่อใกล้คลอด