ท่าทีผ่อนคลายของเฟดเป็นแรงหนุนต่อภาวะ Risk-On ในตลาดโลก

ตลาดการเงินโลกกำลังอยู่ในช่วง "Risk-On Extension" ที่เกิดจากแรงหนุนของท่าทีผ่อนคลายของ Fed และสภาพคล่องส่วนเกิน ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมารับความเสี่ยงมากขึ้น

KEY

POINTS

  • ท่าทีผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed (Fed Dovish Cycle) และสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลก เป็นปัจจัยหลักที่หนุนให้ตลาดตีความสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอในเชิงบวก และผลักดันให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้น
  • ตลาดคาดการณ์ว่า Fed มีแนวโน้มสูงที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนตุลาคม เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นต่อ
  • การเข้าสู่รอบการลดดอกเบี้ยของ Fed (Fed Cut Cycle) ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ทองคำและคริปโทเคอร์เรนซีมีความน่าสนใจมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์
  • แม้จะมีความผันผวนจากปัจจัยอื่น ๆ ตลาดยังคงให้น้ำหนักเชิงบวกต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งคาดว่าจะจำกัดแรงขาย (buy-the-dip pattern) และทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ยังคงเป็นผู้นำในรอบ Risk-On นี้
  • โดยสรุป ตลาดการเงินโลกกำลังอยู่ในช่วง "Risk-On Extension" ที่เกิดจากแรงหนุนของท่าทีผ่อนคลายของ Fed และสภาพคล่องส่วนเกิน ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมารับความเสี่ยงมากขึ้น

ในเดือนกันยายน ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกับสัญญาณเศรษฐกิจจริงของสหรัฐฯที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลง ทั้งจากตลาดแรงงานที่ซบเซา และดัชนี ISM Services PMI ที่ลดลงแตะระดับ 50 จุด ซึ่งสะท้อนภาวะ “ชะลอตัว” ของภาคบริการ ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดตีความเชิงบวก โดยมองว่าแรงส่งจากท่าทีผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed (Fed Dovish Cycle) และ สภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลก ยังคงหนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นต่อ จากการไหลเข้าของ กองทุน ETF และกลุ่ม Momentum Fund เพิ่มขึ้นอย่างในหลายภูมิภาค ส่งผลให้สินทรัพย์เกือบทุกประเภทปรับตัวบวกพร้อมกันในเดือนกันยายน โดยเฉพาะ ทองคำ, บิตคอยน์ (ซึ่งทำสถิติ All-Time High ราวๆ 125,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) และ หุ้นเทคโนโลยี ที่พุ่งแรงจากแรงซื้อของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยทั่วโลก

Momentum and Liquidity-Driven Rally นักลงทุนไม่ต้องการพลาดโอกาสทำกำไร

จากสภาพคล่องทั่วโลก และพฤติกรรม Momentum Chasing ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากไม่ต้องการ “พลาดโอกาส” ในการทำกำไรจากตลาดที่กำลังร้อนแรง โดยเฉพาะ หุ้นเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจหลักของวัฏจักรนี้ มองว่าในเดือนตุลาคมตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อ จากความคาดหวังของ Fed มีแนวโน้มสูงที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อจะรับมือกับสัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ผ่อนคลายลงจากข้อเสนอของจีนที่ต้องการให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดด้านความมั่นคง แลกกับข้อเสนอที่ทางการจีนจะลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ซึ่งตลาดกลับตีความเชิงบวกว่าภาพรวมโลกกำลังเคลื่อนไปสู่ภาวะผ่อนคลายเฉพาะจุด ซึ่งลดความตึงเครียดโดยเฉพาะระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งหนุนความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น 

Outlook for October 2025

ในเชิงโครงสร้าง หุ้นกลุ่ม AI และ Semiconductor ยังคงเป็น “เสาหลักของตลาดโลก” จากการเร่งลงทุนใน AI Infrastructure, Data Center, และ Networking Chips ซึ่งหนุนให้บริษัทชั้นนำอย่าง Nvidia, Broadcom, Samsung Electronics และ SK Hynix ได้รับอานิสงส์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของ HBM Memory, AI Accelerator, และ ชิปประมวลผลความเร็วสูง รวมถึงห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Data Center เช่น พลังงานนิวเคลียร์ แร่หายาก เป็นต้น 

มองไปข้างหน้า เดือนตุลาคม 2025 คาดว่าจะยังคงมีความผันผวนสูงจากหลายปัจจัย เช่น สัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากดัชนีภาคบริการ การจ้างงาน ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะรัสเซียและยูเครน ที่อาจทำให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังให้น้ำหนักเชิงบวกต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed และ สภาพคล่องที่ยังไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง จึงคาดว่า “แรงขายจะถูกจำกัด (buy-the-dip pattern)” โดยหุ้นในกลุ่ม AI, Semiconductor, และ Tech Infrastructure ยังคงเป็นผู้นำของรอบ Risk-On นี้

การเข้าสู่รอบ Fed Cut Cycle ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เงินดอลลาร์เริ่มถูกมองว่า “หมดความน่าดึงดูด” และ “ดูไม่มีค่าเท่าเดิม” ในสายตานักลงทุน ขณะที่เงินทุนไหลออกจากการถือดอลล่าร์ ไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในตลาดอื่น ภาวะนี้หนุนให้ ทองคำและคริปโทเคอร์เรนซี (Crypto Currency) กลับมาโดดเด่น ในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมค่าของเงินดอลล่าร์ คาดว่าราคาทองคำในไตรมาส 4 อาจขยับขึ้นแตะกรอบ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ขณะที่บิตคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลหลักยังมีโอกาส “ไปต่อ” ภายใต้สภาพคล่องส่วนเกินทั่วโลก

โดยสรุป ตลาดการเงินโลกกำลังเข้าสู่ช่วง “Risk-On Extension” ที่เกิดจากแรงหนุนของสภาพคล่อง ร่วมกับ ท่าทีผ่อนคลายของ Fed ซึ่งช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนกลับมารับความเสี่ยงมากขึ้น แม้ความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ แต่สัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ชัดเจนขึ้น และ สภาพคล่องส่วนเกินที่ยังหมุนเวียนในระบบโลก จะยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI เดินหน้าต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี