“หุ้นไทยรีบาวนด์” รอบนี้ วางกลยุทธ์อย่างไร?

“หุ้นไทยรีบาวนด์” รอบนี้ วางกลยุทธ์อย่างไร?

ในช่วงที่สถานการณ์ตลาดอาจอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทาย แม้ราคาหุ้นอยู่ใน Valuation ที่น่าสนใจแต่ในระยะสั้นยังมีปัจจัยกดดันอีกมากและปัจจัยบวกก็ไม่ชัดเจน นักลงทุนที่อาจมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนแต่ยังต้องการลดความเสี่ยงสามารถใช้ FCN ที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์การลงทุนในช่วงที่หุ้นไทยเริ่มรีบาวนด์แต่แนวโน้มระยะสั้นหรือระยะกลางอาจจะยังไม่มีความชัดเจน ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนบนหุ้นไทย

KEY

POINTS

  • ใช้ FCN (Fixed Coupon Note) เป็นเครื่องมือสร้างกระแสเงินสดระยะสั้น ในช่วงที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูงแม้จะมีการรีบาวนด์
  • FCN สามารถสร้างผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยได้ต่อเนื่อง (เฉลี่ย 7%-15% ต่อปี) ตลอดอายุสัญญา แม้ทิศทางตลาดยังไม่ชัดเจน
  • วางกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงโดยการกำหนดกรอบราคาด้านล่าง (Knock-In หรือ KI) เพื่อเป็น Buffer ลดโอกาสขาดทุนหากราคาหุ้นปรับตัวลงในระดับหนึ่ง
  • สามารถออกแบบกรอบล่าง (KI) ให้ต่ำกว่าแนวรับสำคัญหรือจุดต่ำสุดเดิมของราคาหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงเพิ่มเติมหากตลาดมีความผันผวนหรือปรับตัวลง

ผลตอบแทนหุ้นไทยในเดือนก.ค. ถือว่าเริ่มมีความหวังขึ้นมาได้บ้างโดยหุ้นไทยมีการรีบาวนด์กลับขึ้นมายืนเหนือ 1,150 จุดได้อีกครั้ง หลังจากลงไปเทรดต่ำกว่า 1,100 จุด ในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยราคาหุ้นดีดตัวขึ้นมาจากบริเวณจุดต่ำสุดประมาณ 9.41% (as of 16/07/2568) จากแรงซื้อกลับของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นรับปันผลบวกกับแรงซื้อคืนหุ้นรายตัว แม้หุ้นไทยจะมี Valuation ที่ค่อนข้างถูกแต่ราคาหุ้นที่รีบาวนด์กลับขึ้นมาจากบริเวณโซนล่างก็ยังไม่ได้มีสัญญาณคอนเฟิร์มว่าราคาจะกลับตัวไปเป็นขาขึ้น

แต่ท่ามกลางความเสี่ยงและสถานการณ์ที่ยังไม่ชัดเจนทั้ง Deadline การประกาศอัตราภาษีทรัมป์ที่ยังไม่เห็นตัวเลขอัตราภาษีตอบโต้อย่างชัดเจนโดยไทยยังมีโอกาสโดนภาษีสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศในเอเชีย รวมทั้งความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองในประเทศและการกำหนดนโยบายการเงินและนโยบายภาครัฐที่ไม่ค่อยมีความสอดคล้องกันก็ยังเป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบเชิงลบกับภาพตลาดหุ้นในอนาคต

ในช่วงที่ตลาดมีความคาดหวังว่าแนวโน้มราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น การใช้ FCN (Fixed Coupon Note) ซึ่งเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ใช้สร้างกระแสเงินสดระยะสั้น โดย FCN สามารถสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยต่อเนื่องตลอดอายุการลงทุนที่เลือกตั้งแต่ 3, 6 หรือ 9 เดือน ซึ่งจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ประมาณ 7%-15% ต่อปี ขึ้นอยู่กับหุ้นอ้างอิงใน SET50 ที่เลือก โดยนักลงทุนสามารถออกแบบสัญญาได้ทั้งในมุมของดอกเบี้ยที่ต้องการและระดับของความเสี่ยง ผ่านกรอบราคาด้านล่างหรือที่เรียกว่า ราคา Knock-In (KI) เปรียบเสมือน Buffer ที่สามารถลดโอกาสในการขาดทุนได้หากราคาหุ้นปรับตัวลงในระดับหนึ่ง แต่ไม่ลงไปต่ำกว่ากรอบราคา Knock-In (KI) ซึ่งในระหว่างสัญญานักลงทุนจะได้รับกระแสเงินสดในรูปแบบของดอกเบี้ยทุกเดือน หรือเลือกรับดอกเบี้ยทุก ๆ สองสัปดาห์ โดยจะเห็นได้ว่า FCN สามารถออกแบบกรอบล่าง (KI) ให้ต่ำกว่าบริเวณจุดต่ำสุดของราคาในช่วงก่อนหน้าเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนหากราคาหุ้นปรับตัวลงมาแต่ไม่ต่ำกว่าแนวรับที่บริเวณ Low เดิม และสามารถสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยต่อเนื่องพร้อมลดความเสี่ยงหากราคาหุ้นผันผวน

“หุ้นไทยรีบาวนด์” รอบนี้ วางกลยุทธ์อย่างไร?

จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าแนวโน้มของราคาหุ้น CPN และ MINT สามารถรีบาวน์ขึ้นมาจากบริเวณจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี ซึ่งจะกลายเป็นราคาแนวรับสำคัญที่บริเวณ 41.00 บาท (สำหรับ CPN) และ 21.70 บาท (สำหรับ MINT) แต่การออกแบบกรอบล่าง (KI) ของ FCN สามารถสร้างกรอบราคา KI ได้ที่ 80% ของราคาปัจจุบัน พูดง่าย ๆ คือ หุ้นทั้ง 2 ตัวจะมี Buffer ให้ปรับตัวลงได้ถึง 20% ซึ่งกรอบราคาที่วางไว้จะอยู่ต่ำกว่าราคา 52W Low ของหุ้นอ้างอิงทั้ง 2 ตัว ซึ่งจะเป็นตัวช่วยหากแนวโน้มในช่วงหลังจากนี้ราคาหุ้นมีโอกาสย่อตัวลงหรือตลาดมีความผันผวน ซึ่งสัญญา FCN นี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 11.82% ต่อปี (ก่อนหักภาษี) (Pricing as of 16/07/2568) และมีการจ่ายดอกเบี้ยแบบรายเดือนตลอดอายุสัญญาหากไม่เกิดเหตุการณ์ KO หรือทะลุกรอบบน 

ในช่วงที่สถานการณ์ตลาดอาจอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทาย แม้ราคาหุ้นอยู่ใน Valuation ที่น่าสนใจแต่ในระยะสั้นยังมีปัจจัยกดดันอีกมากและปัจจัยบวกก็ไม่ชัดเจน นักลงทุนที่อาจมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนแต่ยังต้องการลดความเสี่ยงสามารถใช้ FCN ที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์การลงทุนในช่วงที่หุ้นไทยเริ่มรีบาวนด์แต่แนวโน้มระยะสั้นหรือระยะกลางอาจจะยังไม่มีความชัดเจน ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนบนหุ้นไทยสำหรับลงทุนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องหรือต้องการบริหารความเสี่ยง โดยผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน (ผลิตภัณฑ์นี้สำหรับผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ตามประกาศ ก.ล.ต. เท่านั้น)