ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (25 ธ.ค.) ปิดลบ 10.56 จุด ชะลอการซื้อขายช่วงหยุดยาว

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (25 ธ.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,264.77 จุด ลดลง 10.56 จุด หรือ 0.83% "นักวิเคราะห์" ชี้ นักลงทุนชะลอการลงทุนช่วงหยุดยาว
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทยปิดทำการที่ 1,264.77 จุด ปรับตัวลดลง 10.56 จุด
- มูลค่าการซื้อขายเบาบางเนื่องจากตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ปิดทำการ
- นักลงทุนชะลอการซื้อขายและขายลดความเสี่ยงก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี
- บรรยากาศการลงทุนโดยรวมจึงเงียบเหงาและขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นตลาด
"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (25 ธ.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,264.77 จุด ลดลง 10.56 จุด หรือ 0.83% โดยดัชนีฯ เคลื่อนไหวในแนวโน้มผันผวนตลอดวัน ซึ่งทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,274.92 จุด จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,262.41 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 15,638.05 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- KCE ราคาปิด 18.40 บาท ลดลง 2.40 บาท หรือ 11.54% มูลค่าซื้อขาย 966.64 ล้านบาท
- DELTA ราคาปิด 172.00 บาท ลดลง 5.00 บาท หรือ 2.82% มูลค่าซื้อขาย 927.71 ล้านบาท
- KTB ราคาปิด 28.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง หรือ 0.00% มูลค่าซื้อขาย 748.85 ล้านบาท
- PTT ราคาปิด 31.50 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.79% มูลค่าซื้อขาย 650.87 ล้านบาท
- BBL ราคาปิด 168.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.30% มูลค่าซื้อขาย 568.36 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่าภาวะตลาดหุ้นไทยในวันนี้เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยมีมูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียงประมาณ 13,000 ล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการปิดทำการของตลาดหุ้นต่างประเทศ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเงียบเหงาและขาดแรงตั้งรับ
นอกจากนี้ ดัชนียังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้น DELTA ประมาณ 2% ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมดัชนี (SET Index) ไปถึง 4 จุด ขณะที่นักลงทุนบางส่วนเริ่มชะลอการลงทุนและขายลดความเสี่ยงเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุดยาวสิ้นปี
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (26 ธ.ค.) คาดว่าสภาวะตลาดจะยังคงมีปริมาณการซื้อขายที่น้อยต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปีใหม่ โดยประเมินกรอบแนวรับสำคัญไว้ที่ 1,260 จุด และวางแนวต้านไว้ที่ระดับ 1,275 จุด โดยคาดว่าสถานการณ์จะเริ่มกลับมามีสีสันและมีวอลุ่มการซื้อขายไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงหลังจากเปิดทำการปีใหม่เป็นต้นไป
ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนเน้นกลุ่มหุ้นที่เป็นเป้าหมายของเม็ดเงินไหลเข้าจากกองทุน TESG รวมถึงหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและจ่ายเงินปันผลดี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (Banking), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (Property) และกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) เช่น TTB และ BDMS เนื่องจากเป็นหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินกองทุนและมีการเติบโตที่น่าสนใจ







